PTSD ไม่ใช่ต้นเหตุของความรุนแรงเสมอไป: เสียงจากจิตแพทย์ท่ามกลางความเข้าใจผิดของสังคม
เมื่อ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา พลทหารรายหนึ่งก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงประชาชน ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่อาสาก็พบร่างของพลทหาร เบื้องต้นคาดว่ายิงตัวเองเนื่องจากพบหมวกเหล็ก และอาวุธประจำกายวางอยู่ข้างลำตัว
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผู้คนบนโลกโซเชียลต่างพูดคุยและโยงถึงภาวะความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder: PTSD) ว่าภาวะดังกล่าวเป็นต้นตอของการกระทำของพลทหารคนนี้หรือเปล่า แล้วนอกจากพลทหารแล้ว ผู้คนที่อยู่บริเวณพื้นที่ความขัดแย้งก็กำลังเผชิญภาวะนี้ด้วยหรือไม่
เพื่อหาคำตอบ The MATTER จึงพูดคุยกับ นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล จิตแพทย์โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ด้วยคำถามข้างต้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจมากยิ่งขึ้น
สื่อกับบทบาทในการสร้างความเข้าใจผิดเรื่อง PTSD
นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการพูดถึงเหตุการณ์ที่พลทหารยิงชาวบ้าน และถูกสังคมหรือสื่อโยงไปว่าเขาคนนี้อาจกำลังเผชิญกับภาวะ PTSD ว่าโดยตามจริงแล้วไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่าผู้กระทำมีอาการ PTSD แม้ว่าเขาจะเจอกับความเครียด ความกดดัน ตามคำบอกเล่าของครอบครัว
“กราดยิงต้องไปว่ากันเรื่องกราดยิงก่อน ไม่เกี่ยวกับ PTSD การอ้างว่าคนๆ หนึ่งกราดยิงเพราะเป็น PTSD มันอ้างไม่ได้ มันไม่เกี่ยวกัน สมมติผมสติหลุด แล้วไปทำร้ายใครสักคน พอตำรวจจะจับผม ผมก็อ้างขึ้นมาว่า ผมเป็นคนสติอ่อนแอ เนื่องจากผมเป็นโรคซึมเศร้า อย่างนี้มันอ้างได้ไหม”
เขาอธิบายเพิ่มว่า การเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน มาโยงกัน ทำให้สังคมเข้าใจคนไข้ทางจิตเวชผิดเป็นอย่างมาก เพราะการที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม ไม่เข้าท่า จะป่วยเป็นอะไรไม่ป่วยเป็นอะไร มันมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่ต้องอธิบายได้ทางกลไกทางจิตวิทยา
“ไม่ใช่ไปโทษเอาง่ายๆ ว่าเพราะไอ้นี่เป็นคนชั่ว ไอ้นี่เป็นคนเลว การว่าไปๆ มาๆ ก็จะสรุปกลายเป็นว่า คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต คือคนที่ก่อปัญหาให้สังคม ซึ่งไม่ใช่เลย ทหารที่เป็น PTSD หรือมนุษย์ที่เป็น PTSD มีเยอะแยะ แต่ไม่เคยมีหลักฐานใดที่ชี้ว่า คนที่เป็น PTSD จะทำร้ายคนอื่นมากกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ”
จิตแพทย์จากโรงพยาบาลไทยนครินทร์ ย้ำว่า มนุษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาทางด้านพฤติกรรม แล้วไปยิงคนอื่น เสร็จแล้วก็จบชีวิตตัวเอง สมมติว่าถ้าเคสนี้เป็นเคสกราดยิงจริงๆ หรือที่ภาษาทางศัพท์เทคนิคเรียกกันว่า active shooting การตั้งใจยิงคนอื่นแบบสุ่ม เพื่อฆ่าคนอื่นตาย หลังจากนั้นสำเร็จโทษตัวเองอย่างแท้จริง ก็ต้องไปพิจารณาเรื่องกราดยิงว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไรกันแน่ แต่องค์ความรู้ทางด้านนี้ในไทยตอนนี้เราก็ยังมีไม่พอ ทั้งข้อมูล ระบบ และ criteria ต่างๆ ในการจัดว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นการกราดยิงหรือไม่ และเป็นการกราดยิงแบบไหน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราพบว่าประเทศไทยเกิดเหตุกราดยิงบ่อยครั้ง หากพูดถึงเคสที่ยังเป็นที่พูดถึงจวบจนปัจจุบัน เช่น เหตุกราดยิงโคราช เมื่อปี 2020, เหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อปี 2022 และเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน เมื่อปี 2023 ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ต่างเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เรายกตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถด่วนสรุปถึงภาวะทางจิตใจของผู้ก่อเหตุได้ทันที เช่นเดียวกับเหตุกราดยิงโดยพลทหาร ในจังหวัดสุรินทร์
ทว่าข้อมูลที่เราพบนอกเหนือจากนี้ คือ หลังจากเกิดเหตุกราดยิงขึ้น สื่อมักจะออกมาพูดถึงโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น 'กราดยิงหนองบัวลําภู' อาจทำให้เกิดอาการ PTSD ภาวะกระทบกระเทือนจิตใจหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง และ หมอ เตือน เสพข่าวกราดยิงศูนย์เด็กเล็กเยอะ ระวังเกิดภาวะ PTSD-ASD
“ผมทำงานเรื่องกราดยิงมามากแล้ว แต่ก็ล้มเหลว เพราะไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่รับผิดชอบ ยอมรับเป็นแม่งาน การทำให้มันเป็นเรื่องราวทางวิชาการอย่างจริงจัง เพื่อที่จะได้มีองค์ความรู้ด้านนี้ในการแก้ปัญหา แต่ไม่มีใครทำเลย เพราะว่าอะไรก็ไม่ทราบ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” นพ.เดชา กล่าว
อย่ารีบด่วนโยงปัญหาทางจิตใจกับพฤติกรรมรุนแรง
สำหรับ นพ.เดชาแล้ว เขามองว่า สังคมและสื่อไม่ควรโยงการกระทำใดการกระทำหนึ่งว่า เกิดจากภาวะทางจิตใจแบบไหน หากไม่มีความรู้อย่างแท้จริง
เขาให้เหตุผลว่า เป็นความจริงที่ว่าทหารที่กำลังประสบภาวะ PTSD จะก่อปัญหาทางอาชญากรรมในบางกรณี แต่มันมีเหตุผลของมัน เช่น หนึ่งคนกลุ่มนี้อาจมีการเข้าถึงอาวุธได้ง่าย สองเนื่องจากภาวะ PTSD ถือว่าเป็นสภาวะเรื้อรัง หากรักษาไม่เหมาะสม ขั้นถัดไปก็จะเจอกับสภาวะหนึ่งที่เราเรียกว่า demoralization และ secondary depression ซึ่งเป็นเรื่องศาสตร์เทคนิคเชิงซับซ้อน
“ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติมีคนเดินมาบอกคุณว่า คุณเป็นมะเร็ง เพราะยีนคุณไม่ดี ซึ่งฟังดูมันเหมือนจริงใช่ไหม ฟังดูเข้าท่าใช่ไหม ก็ยีนเราไม่ดี เราเลยเป็นมะเร็ง แต่การพูดอย่างนี้มันอธิบายได้จริงๆ หรือเปล่า เป็นการโทษยีนอย่างเดียวหรือเปล่า ดังนั้นเวลาคนด่วนสรุปว่า เพราะไอ้มนุษย์คนนี้มีบาดแผลทางใจ ก็เลยไปทำร้ายคนอื่น มันฟังดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันได้ แต่มันเชื่อมโยงกันยังไงละ”
จิตแพทย์คนนี้ยอมรับว่า การอธิบายเรื่อง demoralization และ secondary depression ต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก แต่โดยสรุปคือมนุษย์คนหนึ่งมีสภาวะเรื้อรังหรือกลไกอะไรอย่างหนึ่ง จึงทำให้เกิดอาการบางอย่าง และทำให้เขามีอาการสิ้นหวัง และอาการสิ้นหวังนั้นเกี่ยวข้องกับแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเอง และก่อนที่เขาจะทำร้ายตัวเอง บางทีเขาต้องการทำร้ายสังคมก่อน
“มันโยงได้เป็นสิบๆ สเต็ป กว่าจาก A จะมาถึง Z แต่คนส่วนใหญ่มัก jump จาก A ถึง Z เลย โดยไม่ดูตรง B C D E F เน้น dramatize แต่มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นต้องฟังด้วยสติในการพิจารณาไตร่ตรอง ต้องมีความรู้พอสมควรก่อน ไม่ใช่ฟังเพื่อเอาไปโยงง่ายๆ ผมไม่เคยเห็นด้วยเลย เพราะมันทำให้เราแก้ปัญหาจริงๆ ไม่ได้”
เมื่อความเข้าใจแบบง่ายกลายเป็นกับดัก
นพ.เดชา ชี้ว่าไม่ใช่แค่โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ ที่ถูกนำมาพูดถึงและถูกจับโยงกับเหตุการณ์หนึ่งๆ แต่ในขณะนี้ยังมีโรคสมาธิสั้น (ADHD) หรือ ออทิสติก (autism) ที่ในช่วงนี้มักจะถูกกล่าวถึงบ่อยไม่แพ้กัน
“มันจะกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว ซึ่งผมไม่เห็นด้วย แต่ยอมรับว่ามีคนไข้จริงๆ ที่เขาไม่ได้มีเจตนาอ้าง เขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจริงๆ”
เขาขยายความว่า โรคทางจิตเวชไม่ต่างกับโรคปกติทั่วไป คือมีอาการ แล้วอาการบางอย่างมีเพียงนพ.ที่เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะรู้ว่านี่คือของจริงหรือของปลอม เขายกตัวอย่าง PTSD ขึ้นมาอีกครั้งว่า เวลาคนพูดถึงภาวะนี้ มักจะพูดถึงว่ามันเกิดจากการที่คนๆ หนึ่งเคยประสบกับภัยอันตรายทางจิตใจมา มีประสบการณ์อันเลวร้าย จนเกิดอาการกลัว ขวัญผวา ฝันร้าย ซึ่งที่กล่าวมา ถือเป็นเพียง 1 ใน 7 อาการของมันเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเจอด้วย คนไข้ PTSD หนึ่งร้อยคน จะมีอาการอย่างนี้ทุกคน ไม่ใช่ อาจจะแค่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ อาการที่คนเหล่านี้เจอบ่อยกว่า แต่คนไม่เคยพูดถึงเลยคือ อาการตื่นตัวมากเกินไป (hyperarousa) ซึ่งเป็นอาการทางกาย มีแต่หมอเท่านั้นที่จะรู้ว่าอาการอย่างนี้แหละคือ PTSD”
ข้อมูลจาก คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุอาการของโรค PTSD ว่าจะมีดังนี้
การย้อนเห็นภาพเหตุการณ์ (Intrusion) การคิดถึง ย้อนระลึกถึงซ้ำๆ ฝันร้ายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่งเมื่อพบสิ่งที่สะกิดใจหรือทำให้นึกถึงเหตุการณ์นั้นๆ การหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์และหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ (Dissociation) บางทีก็เรียกลักษณะนี้ว่าการตัดความรู้สึกหรือการหลีกเลี่ยงความรู้สึก มีการหลีกหนี ไม่เผชิญหรือพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน มีการระงับไม่รับรู้และแสดงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการผ่านเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ พยายามหลีกเลี่ยงผู้คนหรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกัน มีปฏิกิริยาไวในการระแวดระวังและตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เกินระดับปกติ (Hyperarousal) โดยแสดงอาการตื่นตัว สะดุ้งบ่อยกว่าปกติ นอนหลับยาก ตั้งสมาธิลำบาก และมีอารมณ์หงุดหงิดแปรปรวนง่าย
นพ.เดชาพูดเตือนสังคมว่า การสรุปอะไรให้ง่ายจนเกินไป มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เขายอมรับว่าเห็นด้วยกับการที่ผู้คนสามารถเข้าใจอะไรได้ไม่ยากจนเกินไป จนรับมือกับมันได้ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาย้ำว่าการไปฟันธงอะไรง่ายๆ โดยไม่ยึดโยงกับข้อเท็จจริง กับหลักวิชาที่มีอยู่ บางครั้งก็ชวนให้เราหลงทางได้เหมือนกัน
อย่างเคสทหารยิงชาวบ้าน จนได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และนำเรื่อง PTSD มาโยง เพราะว่ามันไม่ข้อมูลอะไรเลยที่ชี้ว่าเขาเป็น PTSD แม้ว่าญาติจะระบุว่าผู้ก่อเหตุมีอาการเครียดก็ตาม การคาดเดาเช่นนี้จะนำไปสู่คำถามที่ว่า “เท่ากับว่าทหารที่ไปรบ 100 คน ต้องเป็น PTSD ทั้ง 100 คน?”
ไม่ใช่ทุกคนที่เผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงต่อจิตใจ จะเป็น PTSD
ขณะที่ทหารไทยกัมพูชายังไม่บรรลุข้อตกลงหยุดยิง คนกลุ่มหนึ่งที่หลายคนก็มองว่าพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะด้านจิตใจ ซึ่งเท่าที่เรารับข่าวสารเกี่ยวกับปมความขัดแย้งนี้ มีชาวบ้านหลายคนยอมรับว่ารู้สึกกลัวบ้าง นอนไม่หลับบ้าง เราจึงถาม นพ.เดชา ถึงอาการเหล่านี้ว่าเกี่ยวข้องกับ PTSD หรือไม่
เขาตอบทันทีว่า เป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงของสังคมที่มีต่อสภาวะโรคกลุ่มนี้ ที่ถูกเรียกว่า stress disorder คือสภาวะที่มนุษย์เผชิญกับความเครียด และมีอะไรบางอย่างขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด จิตใจ และพฤติกรรม ซึ่งไม่ปกติเพราะทำให้เป็นทุกข์ ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างในความสามารถของคนๆ นั้นไป ในกลุ่ม stress disorder สามารถแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายชนิดและหลายระยะ
“อาการที่คนทั่วไปมักพูดถึงนั้นเราเรียกว่า acute stress disorder ผมขอยกตัวอย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหว สมมติมีคนอยู่ในตึกหนึ่ง 50 คน แล้วไหวรุนแรงมาก เหมือนตึกจะถล่ม คนทุกคนจึงรีบวิ่งหนีลงมา แล้วรอดกันหมดทั้ง 50 คน ทั้ง 50 คนตอนนั้น ถ้ามีคนไปถามว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง น่าจะมีมากกว่า 40 คน ที่บอกใจคอไม่ดีเลย ใจสั่นเหมือนจะเป็นลม กลัวจนแทบจะขาดใจ ดังนั้นคน 80-90 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ต่ำกว่า 40 คน จะมีปัญหาการนอนหลับในคืนนั้น”
“พูดง่ายๆ เกือบทั้งหมด ในคน 50 คน ที่อยู่ในตึกที่ได้รับภัยแผ่นดินไหวนั้น เกือบทั้งหมดมีอาการอะไรบางอย่างอยู่ 2-3 วัน อันนั้นเราเรียกว่า acute stress ก็คือเป็นปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ต่อความสะเทือนใจ ต่อการประสบภยันตรายอะไรบางอย่าง ที่มันมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย”
จิตแพทย์จากโรงพยาบาลไทยนครินทร์ ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่า สมมติมีคนเดินอยู่ แล้วโดนรถชนอย่างรุนแรงพอสมควร คนนั้นก็ต้องขาหัก และคนอีกร้อยคนที่โดนชนท่านั้นก็ต้องขาหักเช่นกัน
“คำถามที่ตามมาคือ ขาหักถือว่าป่วยไหม ก็ต้องถือว่าป่วยเพราะกระดูกหัก ก็ต้องรักษา แต่เหตุการณ์และอาการบาดเจ็บนี้ถือว่าผิดปกติจากธรรมชาติของมนุษย์หรือไม่ ไม่ครับ มนุษย์คนไหนก็โดนอย่างนั้นก็ต้องขาหัก แต่ PTSD ไม่ใช่ขาหัก แต่คือสภาวะที่ขาหักแล้วกระดูกมันเชื่อมไม่ติด”
เขาเปรียบเทียบตัวอย่างเดิมว่า คน 100 คนโดนรถชนท่านั้น ขาหัก 90 คน เพราะชนรุนแรงมาก แต่ขาหัก 90 คน หายเป็นปกติ 85 คน จะมีแค่ 5 คนเท่านั้นที่หายแล้ว มีปัญหาอะไรบางอย่างตามมา นั่นคือ PTSD สภาวะจิตที่มันไม่สามารถเยียวยาตัวมันเอง ไม่สามารถฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ แผลเป็นของมันยังอักเสบกลัดหนองอยู่ รักษาไม่หาย
“acute stress เป็นอาการปกติธรรมดาของมนุษย์ที่ตกใจ เจอสิ่งที่สะเทือนจิตใจรุนแรง แต่มันจะดีขึ้น มันจะทุเลาลงภายในหนึ่งสัปดาห์สองสัปดาห์ แต่อาจจะมีมนุษย์บางกลุ่ม บางโปรไฟล์ บางลักษณะที่มีความเป็นไปได้ว่าอาการอาจจะเปลี่ยนเป็น PTSD”
นพ.เดชาอธิบายเพิ่มว่า การนำมาซึ่งภาวะ PTSD ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภัยอันตรายว่ารุนแรงแค่ไหน หากคนกลุ่มหนึ่งถูกจับไปเป็นเชลยศึก โดนทรมานอยู่เป็นปี จาก 100 คน เหลือรอดมาเพียง 20 คน แต่จะเป็น PTSD แน่ๆ 19 คน เพราะภาวะนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
PTSD ที่เกิดขึ้นกับคนที่ผ่านการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์-เผชิญหน้ากับสงครามโลก
ตามที่ นพ.เดชาพูดว่า การนำมาซึ่งภาวะ PTSD ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภัยอันตรายว่ารุนแรงแค่ไหน เราจึงยกตัวอย่างเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษยชาติไป อาทิ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามโลกที่กินเวลานาน ว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะทำให้เปอร์เซ็นต์ของคนที่ต้องเผชิญกับภาวะความผิดปกติ ที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาตอบว่า ใช่ เพราะว่าเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างมามันรุนแรง สิ่งที่พวกเขาเจอมันรุนแรง มันทุกข์ทรมานแสนสาหัส มันมีความสะเทือนใจอย่างมาก แต่ก็มีอะไรบางอย่างเซอร์ไพรส์เราเหมือนกัน ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่ผ่านสถานการณ์ข้างต้นจะเป็น PTSD ทั้งหมด แม้กระทั่งคนยิวที่รอดจากค่ายกักกันของนาซี ค่ายที่คร่าชีวิตชาวยิวไปราว 6 ล้านคน
“สมมติมีสเกลว่ามนุษย์คนหนึ่งจะผ่านประสบการณ์อะไรที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด เท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะเจอได้ มนุษย์ที่ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่แย่ที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ เท่าที่มนุษย์จะเคยเจอมาในประวัติศาสตร์ เพราะมันโหดร้าย หลายคนต้องเห็นคนในครอบครัวตายต่อหน้าต่อตาเกือบหมด แต่ในขณะเดียวกันบางคนที่ผ่านประวัติศาสตร์เหล่านี้มาก็ไม่ได้จะเป็น PTSD ทุกคน”
ดังนั้นแล้ว นพ.เดชาถือว่า PTSD เป็นความเจ็บป่วย เพราะว่ายังมีมนุษย์บางคนที่สามารถรอดจากมันไปได้ มนุษย์นั้นเป็นสิ่งสลับซับซ้อนมาก ไม่สามารถไปฟันธงง่ายๆ โดยไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรเป็นอะไร การไปเจออะไรมาแล้วฟันธงเองว่า เป็น PTSD หรือไม่เป็น PTSD มันไม่ง่ายขนาดนั้น
เขาพูดปิดท้ายถึงผู้คนที่อยู่บริเวณชายแดนไทยกัมพูชาว่า หากใครรู้สึกไม่ดี เครียด นอนไม่หลับ ให้ไปปรึกษา MACT ทีมจากกรมสุขภาพจิต แต่ถ้ายังไม่ได้เจอผู้เชี่ยวชาญ คนที่จะช่วยให้ผ่านเรื่องแย่ๆ ไปได้ ก็คือคนข้างๆ ตัว
“ความเจ็บปวดของมนุษย์ทุกคน สิ่งที่เยียวยาได้ดีที่สุด ยังเป็นสิ่งเดิมมาเสมอตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ก็คือความรักจากคนข้างๆ เราพบว่ามนุษย์ที่มีคนที่เขารักและคนที่รักเขาอยู่ข้างๆ ความเจ็บป่วยทางสุขภาพจิตจะต่ำกว่ามนุษย์ ที่โดดเดี่ยวอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ต่างกันมหาศาล” นพ.เดชา ระบุ
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editor: Thanyawat Ippoodom