ต.ค. 68 กทม.ดีเดย์ค่าเก็บขยะ ลุยคัดแยกต้นทางปั้น ‘เมืองต้นแบบไม่เทรวม’
ไตรมาส 3/68 ต้องบอกว่าเริ่มนับถอยหลังอย่างเป็นทางการ ในการเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมจัดเก็บขยะอัตราใหม่ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ ทาง “กทม.-กรุงเทพมหานคร” กำหนดดีเดย์เริ่มต้นจัดเก็บวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้เป็นต้นไป
อัพเดตความคืบหน้าล่าสุด เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 8/2568
โดยหนึ่งในหัวข้อไฮไลต์เป็นเรื่อง “ข้อบัญญัติจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะใหม่ของกรุงเทพมหานคร” เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการร่วมลดและคัดแยกขยะที่แหล่งกำเนิดหรือต้นทาง ซึ่งจะเริ่มเดือนตุลาคม 2568 นี้
สาระสำคัญสำหรับการแยกขยะ ตัวชี้วัดมี 2 เรื่องด้วยกัน คือ ตัวชี้วัดที่ 1 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และสร้างแรงจูงใจให้ปริมาณขยะลดลงในภาพรวม โดยสถิติในปัจจุบัน เขตพื้นที่รับผิดชอบ 50 เขตของ กทม. พบว่าประชากรคนกรุงสร้างปริมาณขยะจำนวนมากถึง 10,000 ตัน/วัน ทำให้เป็นภาระในการจัดเก็บ และใช้งบประมาณในการบริหารจัดการเก็บขยะวงเงินสูงถึงปีละประมาณ 7,000 ล้านบาท
ดังนั้น หนึ่งในแนวทางบริหารจัดการจึงโฟกัสในด้านการรณรงค์คัดแยกขยะ เพื่อให้ขยะที่เหลือที่ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ สามารถนำกลับมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ได้
จากจุดเริ่มต้นต้องการให้มีการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือจูงใจจึงมีความเกี่ยวโยงกับการปรับอัตราค่าธรรมเนียมขยะ
เบื้องต้น อัตราสำหรับบ้านเรือนย่อยที่มีปริมาณขยะไม่เกิน 20 ลิตร/วัน หากสมัครใจเข้าร่วมโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม แยกขยะลดค่าธรรมเนียม กับ กทม.” จะมีการลดค่าเก็บขยะจาก 60 บาท เหลือเพียง 20 บาท/เดือน หรือลดลงถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีส่วนลดเพื่อจูงใจ แต่ก็ถือเป็นส่วนที่ กทม.ต้องใช้ความพยายามในการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้รับทราบ และสร้างการมีส่วนร่วมกันอย่างทั่วถึงในระดับครัวเรือน
ในเวลาเดียวกันก็พบว่า หัวใจหลักการลดขยะอยู่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งทาง กทม.ได้เพิ่มอัตราค่าธรรมเนียมเก็บขยะโดยไม่มีข้อแม้
ตัวชี้วัดที่ 2 ความรู้สึกของประชาชน ที่ต้องทำให้รู้สึกว่า กทม.เอาจริงเอาจังกับนโยบายไม่เทรวม (ขยะเปียก ขยะแห้ง ขยะมีพิษ ขยะปกติทั่วไป)
“เราแยกขยะได้จริง ประชาชนถึงจะไว้ใจเรา ฉะนั้น เราจึงต้องทำ 2 ส่วนคู่ขนานกันไปทั้งการบริหารจัดการรายย่อยและรายใหญ่ ต้องคิดให้ละเอียดเพราะแต่ละพื้นที่มีบริบทไม่เหมือนกัน”
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักเทศกิจ และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต กำหนดตัวชี้วัดเรื่องการจัดเก็บขยะ โดยมีเป้าหมายหลักคือปริมาณขยะต้องลดลง
อีกทั้งเน้นการประชาสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยหรือประชาชน ให้เน้นการสร้างความไว้วางใจว่ากรุงเทพมหานครจะไม่นำขยะที่จัดเก็บไปเทรวม ให้มีการวางแผนนำขยะเปียกไปบริหารให้เกิดประโยชน์ต่อไป
รวมทั้งสร้างการรับรู้การแยกขยะและวิธีการคำนวณ เพื่อลดอัตราค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการ รวมทั้งขยายผลการจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะไปยังผู้ค้าหาบเร่แผงลอยให้ทันภายในเดือนตุลาคมนี้
สำหรับประชาชนที่ต้องการลดค่าธรรมเนียมขยะ ผ่านโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” สามารถทำได้โดย ลงทะเบียน BKK Waste Pay ผ่าน 4 ช่องทาง
ประกอบด้วย 1.แอปพลิเคชั่น BKK Waste Pay 2.ผ่านเว็บไซต์ BKK Waste Pay 3.ติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ ณ สำนักงานเขตในพื้นที่ 4.ผ่านเจ้าหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียมขยะ (เจ้าหน้าที่ Handheld) และทำตามขั้นตอนที่กำหนด
ทาง กทม.มีการอัพเดตล่าสุดด้วยว่า ณ สิงหาคม 2568 มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการบ้านนี้ไม่เทรวมแล้ว มากกว่า 1 แสน 9 หมื่นราย
“เรื่องแยกขยะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้าทายมาก และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน สำนักและสำนักงานเขตที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน หากทำได้สำเร็จเชื่อว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าของ กทม. ในเรื่องการจัดการขยะและความสะอาดและจะเป็นโมเดลให้กับใครที่ต้องการจะทำต่อไป” ผู้ว่าฯชัชชาติกล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ต.ค. 68 กทม.ดีเดย์ค่าเก็บขยะ ลุยคัดแยกต้นทางปั้น ‘เมืองต้นแบบไม่เทรวม’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net