‘สมฤดี ชัยมงคล’ จากลูกเป็ดสู่ซีอีโอ จงใส่รองเท้าให้ใหญ่กว่าตัว
จากพนักงานต้อนรับธรรมดาๆ ที่เริ่มต้นด้วยสองมือเปล่า แต่มีกรอบความคิดที่พร้อมเรียนรู้และความกล้าที่จะสร้างโอกาสด้วยตัวเอง ‘สมฤดี ชัยมงคล’ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งบ้านปู สามารถก้าวสู่ความสำเร็จได้
เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยการลงมือทำจริง บทเรียนจากการเผชิญหน้ากับวิกฤติ และการยืนหยัดท่ามกลางความไม่แน่นอน ตลอด 42 ปี ที่เธอใช้ชีวิตการทำงานอยู่กับบ้านปูจนขึ้นเป็นซีอีโอ ได้กลายเป็นสมบัติทางความคิดและมุมมองที่สามารถส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และต่อยอด
บนเวที Techsauce Global Summit 2025 โดย TODAY Bizview ได้ถอดสรุปสาระสำคัญและมุมคิดเหล่านี้ไว้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่กำลังเดินตามเส้นทางของตัวเอง
[ ใส่รองเท้าที่ใหญ่กว่าตัว เอื้อมมือให้ไกลกว่าที่จะสัมผัส ]
แม้จะจบการศึกษาด้านบัญชี แต่สมฤดีเลือกเริ่มต้นจากตำแหน่งพนักงานต้อนรับ จุดเริ่มต้นที่หลายคนอาจมองว่าเล็กเกินไปสำหรับคนมีวุฒิ แต่สำหรับเธอ นี่คือ ‘ประตูบานแรก’ ที่จะเปิดไปสู่โอกาสในองค์กรที่เธอเชื่อมั่น
‘สมฤดี’ เปรียบตัวเองเป็น ‘ลูกเป็ด’ ในความหมายแบบไทยๆ สัตว์ที่ทำได้หลายอย่าง ทั้งบิน เดิน ว่ายน้ำ หรือวิ่ง แม้จะไม่ใช่ที่สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่กลับมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากทุกสิ่งที่เผชิญ ไม่ว่างานนั้นจะเล็กหรือใหญ่
ที่สำคัญการเติบโตของ ‘สมฤดี’ ยังได้รับแรงผลักดันจาก ‘ชนินท์ ว่องกุศลกิจ’ ผู้ก่อตั้งบ้านปู ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่ทั้งคอยสอน พร้อมให้หลักวิธีคิดที่นำมาใช้ได้จริง เช่น ใส่รองเท้าที่ใหญ่กว่าตัว และ เอื้อมมือให้ไกลกว่าที่จะสัมผัส หลักการเหล่านี้เป็นแนวคิดที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองตลอดเส้นทางการทำงาน 42 ปีที่ผ่านมา
[ สรุปบทเรียนชีวิตจากทุกวิกฤตในการทำงาน ]
‘สมฤดี’ มองว่าทุกวิกฤติคือโอกาสเรียนรู้ และต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด วางแผนเพื่ออนาคต ซึ่งในแต่ละวิกฤตที่ผ่านมา เธอได้สรุปบทเรียนที่แตกต่างกัน และน่าสนใจมาก ดังนี้
วิกฤติพลังงานโลกทศวรรษ 1980 บทเรียนแรก เริ่มต้นจากการสังเกตการณ์ ในช่วงแรกของการทำงาน สมฤดีได้เห็นผู้นำรุ่นใหญ่ตัดสินใจท่ามกลางความไม่แน่นอน ได้เรียนรู้วิธีการจัดตั้งทีม รับมือปัญหา และวางแผนกลยุทธ์ในสถานการณ์จริง
วิกฤติต้มยำกุ้ง 1997 จากผู้ดู เติบโตกลายเป็นผู้แก้ปัญหา เปลี่ยนจากการเป็นผู้สังเกต มาเป็นผู้ลงสนามเต็มตัว ทำงานไม่หยุดพักเพื่อฟื้นฟูองค์กร บทเรียนที่ได้คือ ‘คน’ หัวใจสำคัญที่สุดของทุกวิกฤติ
วิกฤติโควิด-19 บทบาทสูงสุดในฐานะซีอีโอ ในช่วงสถานการณ์ที่ทั้งโลกหยุดชะงัก จำเป็นที่จะต้องตั้งทีมฉุกเฉิน สื่อสารกับพนักงานทุกวัน และดูแลไม่เพียงองค์กร แต่ยังรวมถึงการช่วยเหลือสังคมให้ก้าวผ่านไปด้วยกันอย่างมั่นคง
[ หลักการผู้นำองค์กรเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ]
จากวิกฤตทั้งหมดนั้นทำให้ ‘สมฤดี’ รู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนเลย แต่การเป็นผู้นำจำเป็นที่จะต้องรับมือกับความไม่แน่นอนนี้ให้ได้ ซึ่ง 3 หลักการในการเป็นผู้นำองค์กรของสมฤดีที่ใช้แล้วประสบความสำเร็จคือ
1.คนมาก่อนเสมอ คนคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด ผู้นำต้องโค้ช ให้คำปรึกษา และเสริมความแข็งแกร่ง เพราะสุดท้ายคนเหล่านี้จะเป็นกำลังหลักที่พาองค์กรผ่านทุกความท้าทาย
2.ยึดมั่นในความยั่งยืน (ESG) ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ธุรกิจ แต่คือการถามตัวเองว่า ‘เราจะสร้างประโยชน์ให้โลกได้อย่างไร’ การใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี คือเกราะป้องกันองค์กร และสร้างเครือข่ายคนที่พร้อมช่วยเหลือเมื่อเราล้ม
3.จาก Shareholder Value สู่ Stakeholder Value ก้าวข้ามการมองเพียงผู้ถือหุ้น มาให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พนักงาน คู่ค้า ชุมชน สังคม และครอบครัว เพราะระบบนิเวศที่แข็งแรงจะทำให้องค์กรได้รับแรงสนับสนุนจากทุกทิศทางและเติบโตอย่างยั่งยืน
[ 3 วิธี คิดก่อนพูดของผู้นำ ]
‘สมฤดี’ ยังให้ข้อคิดว่าไว้ว่าก่อนจะพูดอะไรให้ถามตัวเองด้วยคำถาม 3 เสมอ คือ
– สิ่งนั้นสำคัญหรือไม่
– สร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือเปล่า
– คำพูดจะไปทำร้ายจิตใจใครหรือไม่
หากคำตอบของข้อสุดท้ายคือใช่ว่า คำพูดจะไปทำร้ายจิตใจใคร ก็จงเลือกที่จะเงียบ เพราะการชนะใจคน คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จในทุกมิติของชีวิต และจะทำให้เราได้แฟนคลับที่พร้อมจะสนับสนุนเราเสมอ
[ พลังแห่งการรับฟังตลอดอาชีพ ]
ในพาร์ทสุดท้ายได้พูดถึงการพาบ้านปูสู่การเป็นองค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานใน 9 ประเทศ ‘สมฤดี’ มองว่า ‘เสน่ห์วัฒนธรรมไทย’ คืออาวุธลับที่ทรงพลัง คนไทยมีจุดแข็งด้าน Soft Side ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มจริงใจหรือความทุ่มเททำงานเกินขอบเขตเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
เมื่อจุดแข็งเหล่านี้ถูกผสมผสานกับระบบและหลักการทำงานที่เป็นเลิศของวัฒนธรรมตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกาหรือออสเตรเลีย จะเกิดการทำงานร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย (Symbiosis) จนกลายเป็น วัฒนธรรมองค์กรพหุวัฒนธรรม (Multi-culture) ที่แข็งแรงและพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม‘สมฤดี’ เชื่อว่า เสน่ห์เหล่านี้จะฉายแสงได้เต็มที่ต่อเมื่อผู้นำรู้จักใช้ ‘พลังแห่งการรับฟัง’ (The Power of Listening) ตลอดอาชีพ
จงเลือกเป็นผู้ฟังที่ดีก่อนเสมอ เพื่อเก็บข้อมูลให้มากที่สุดก่อนตัดสินใจหรือแสดงความคิดเห็น เพราะเมื่อข้อมูลครบถ้วน กลยุทธ์ที่วางย่อมแม่นยำกว่า และช่วยให้ทั้งตัวเอง ทีม และองค์กร พร้อมรับมือกับความท้าทายและสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้
เรื่องราว 42 ปีของอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งบ้านปูคนนี้ ไม่ได้เพียงเล่าถึงเส้นทางสู่ตำแหน่งสูงสุด แต่คือบทเรียนว่าผู้นำต้องฟังให้มาก เข้าใจคน ยึดมั่นในคุณค่าที่ยั่งยืน และสร้างระบบนิเวศที่ทุกฝ่ายเติบโตไปด้วยกัน นี่คือหัวใจของการเป็นผู้นำในโลกที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง