นักลงทุนขานรับภาษีทรัมป์ 19% ชูจุดแข็ง 5 ด้าน รับการค้ายุคใหม่
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากที่ทีมไทยแลนด์ที่มีทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สามารถเจรจากับสหรัฐอเมริกาจนมีการประกาศอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากไทย 19% ลดลงจากอัตราก่อนหน้าที่ 36% ถือเป็นข่าวดีที่ส่งผลบวกต่อการลงทุน เพราะเป็นอัตราภาษีที่ทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
โดยนักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวนมากให้ความเชื่อมั่นและพร้อมเดินหน้าลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากมองว่าไทยสามารถตอบโจทย์การลงทุนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ และมีศักยภาพในการสร้างซัพพลายเชนสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ที่ผ่านมา ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาระบบนิเวศ ลดอุปสรรค และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการประกอบธุรกิจ ให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอเร่งให้การส่งเสริม 5 สาขาหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็ง 5 ด้านสำคัญที่พร้อมรองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่
1. โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ พร้อมรองรับการลงทุน ทั้งนิคมอุตสาหกรรม ระบบโลจิสติกส์ ท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ ระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียน โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และการจัดตั้ง Hyperscale Data Center จากนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลก เช่น AWS, Google รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ที่พร้อมสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ทั้งด้านที่พักอาศัย โรงเรียนนานาชาติ และโรงพยาบาลมาตรฐานสูง
2.ซัพพลายเชนที่ครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนใหญ่รวมตัวเป็นคลัสเตอร์อยู่บริเวณภาคตะวันออก ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
3. บุคลากรทักษะสูง ทั้งวิศวกร ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือ โดยบีโอไอร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) ในการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง และหลักสูตรเฉพาะด้าน เช่น เซมิคอนดักเตอร์, AI, IoT, ระบบอัตโนมัติ และโลจิสติกส์ โดยมีเป้าหมายสร้างแรงงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงจำนวน 280,000 คน ภายใน 5 ปี (2567 – 2571) ในสาขาที่ไม่สามารถพัฒนาได้ทัน บีโอไอมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติสาขาดังกล่าวสามารถเข้ามาทำงานได้ ทั้งการอนุญาตภายใต้กฎหมายส่งเสริมการลงทุน, Smart VISA, LTR VISA และศูนย์ One Stop Service ที่บีโอไอทำงานร่วมกับ ตม. และกรมการจัดหางาน
4. มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ จากบีโอไอและกระทรวงการคลัง การพัฒนากลไกจัดหาพลังงานสะอาด หรือมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ เช่น มาตรการส่งเสริมรถยนต์ EV, เซมิคอนดักเตอร์, แบตเตอรี่, อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการเชื่อมโยงซัพพลายเชนและการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
5. โอกาสในการเข้าสู่ตลาดโลก ไทยมีศักยภาพในการเชื่อมต่อกับตลาดในภูมิภาค โดยอาศัยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ไทยมีความตกลงการค้าระหว่างประเทศ (FTA) ที่ลงนามแล้ว 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ อีกทั้งยังมีอีกหลายฉบับที่อยู่ระหว่างเจรจา เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา และเกาหลี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้
ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ความพร้อมของซัพพลายเชน บุคลากรที่มีคุณภาพ บวกกับมาตรการสนับสนุนของบีโอไอและหน่วยงานรัฐต่าง ๆ เชื่อมั่นว่าจะทำให้ไทยยังคงเป็นฐานการลงทุนที่โดดเด่นของภูมิภาค และมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับคนไทยในระยะยาว