โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

นักข่าวเกือบ 200 คน ถูกสังหารในกาซา สถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

TODAY

อัพเดต 27 สิงหาคม 2568 เวลา 1.15 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • workpointTODAY

การสังหารสื่อในกาซากลับมาเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องจับตาอีกครั้ง หลังการโจมตีโรงพยาบาลนาสเซอร์ ในเมืองคานยูนิส ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา เมื่อวันจันทร์ที่ 25 ส.ค. 2568 ซึ่งเกิดขึ้นสองครั้งติดภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที หรือที่สื่อต่างประเทศเรียกว่าเป็นการโจมตีแบบ ‘double-tap strike’ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน ในจำนวนนั้นรวมถึงนักข่าว 5 คน และบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อย 4 คน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงสองสัปดาห์หลังการโจมตีที่โรงพยาบาลอัล-ชิฟาในเมืองกาซาซิตี ซึ่งคร่าชีวิต อานัส อัล-ชารีฟ (Anas al-Sharif) ผู้สื่อข่าวชื่อดังของ Al Jazeera พร้อมเพื่อนร่วมงาน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลนาสเซอร์จึงยิ่งเพิ่มความกังวลต่อความปลอดภัยของพลเรือนและบุคลากรแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย หรือผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงจากพื้นที่

รายงานของเดอะวอชิงตันโพสต์ระบุว่า ชั้นบนของอาคารโรงพยาบาลถูกระเบิดลูกแรกโจมตีในเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากนั้น ราว 10.17 น. มีระเบิดลูกที่สองถูกยิงซ้ำเข้าไปที่บริเวณบันไดของโรงพยาบาล ในขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยและผู้สื่อข่าวกำลังรวมตัวกันปฏิบัติหน้าที่ และให้ความช่วยเหลือผู้รับบาดเจ็บ ในเวลานั้น สถานีโทรทัศน์ Al-Ghad TV กำลังรายงานสถานการณ์สดอยู่พอดี ก่อนที่ภาพจะดับไปพร้อมกับเสียงระเบิด

เมื่อผู้ตีแผ่ความจริง ต้องตกเป็นเหยื่อสงคราม

หลังเหตุการณ์สงบลง มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน ในจำนวนนั้นรวมถึงนักข่าว 5 คนที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานความจริงจากพื้นที่เสี่ยงภัย ผู้เสียชีวิตประกอบด้วย มาเรียม ดักกา (Mariam Dagga) ผู้สื่อข่าวอิสระของ Associated Press (AP), ฮุสซัม อัล-มาสรี (Hussam al-Masri) ช่างภาพของ Reuters, โมฮัมเหม็ด ซาลามา (Mohammed Salama) ช่างภาพของ Al Jazeera, โมอาซ อาบู ทาฮา (Moaz Abu Taha) ผู้สื่อข่าวอิสระ และ อาห์เหม็ด อาบู อาซิซ (Ahmed Abu Aziz) ผู้สื่อข่าวของ Middle East Eye และ Quds Feed นอกจากนี้ ยังมีผู้สื่อข่าวอีกคนหนึ่งของ Reuters คือ ฮาเท็ม คาห์เล็ด (Hatem Khaled) ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งนี้ด้วย

กรณีของ มาเรียม ดักกา ได้รับการพูดถึงเป็นพิเศษ เนื่องจากเธอเป็นหนึ่งในนักข่าวหญิงไม่กี่คนที่ทำงานภาคสนามในกาซา ตลอดช่วงสงครามเธอเกาะติดรายงานสถานการณ์ที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ ถ่ายทอดการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์แนวหน้า และตีแผ่ปัญหาด้านสุขภาพที่เป็นผลพวงจากสงคราม โดยเฉพาะวิกฤตเด็กขาดสารอาหาร ซึ่งสำนักข่าว AP เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน มาเรียมเพิ่งได้รับรางวัลภายในองค์กรจากภาพถ่ายที่เล่าเรื่องเด็กผอมแห้งในฉนวนกาซา

AP รายงานด้วยว่า มาเรียมเป็นนักข่าวที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น เธอเป็นแม่ของลูกชายวัย 13 ปี ที่ต้องส่งลูกไปอยู่กับพ่อที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่สงครามเริ่มแรกๆ เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ทำงานข่าวในพื้นที่เมืองคานยูนิสอย่างต่อเนื่อง

เพื่อนสนิทของเธอเปิดเผยว่า ลูกชายของมาเรียมเคยขอร้องจะกลับมาอยู่กับแม่อยู่หลายครั้ง แต่เธอปฏิเสธเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย มาเรียมยังฝากข้อความสุดท้ายถึงลูกชายของเธอไว้ว่า “อย่าลืมแม่นะ และจงจำไว้ว่า แม่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข สบาย และอุ่นใจ”

ไม่ใช่แค่มาเรียม นักข่าวคนอื่นๆ ที่ถูกพรากชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้รับการยกย่องจากต้นสังกัด เช่นกัน อย่างฮุสซัม อัล-มาสรี ช่างภาพ Reuters ถูกระบุว่าเสียชีวิตที่จุดประจำการซึ่งเขาใช้ถ่ายทอดสดสถานการณ์ไปทั่วโลกมาตลอด ส่วน โมฮัมเหม็ด ซาลามา ช่างภาพภาคสนามของ Al Jazeera ก็ทำงานครอบคลุมเหตุโจมตีในกาซาอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ โมอาซ อาบู ทาฮา แม้จะเป็นนักข่าวอิสระแต่ก็มีผลงานเผยแพร่ผ่าน Reuters หลายชิ้น และ อาห์เหม็ด อาบู อาซิซ ผู้สื่อข่าวของ Middle East Eye และ Quds Feed ก็เคยเขียนบทความสะท้อนการสูญเสียเพื่อนนักข่าวระหว่างสงคราม ก่อนที่สุดท้ายเขาจะตกเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตเอง

นอกเหนือจากนักข่าว ยังมีรายงานว่าบุคลากรโรงพยาบาลนาสเซอร์อย่างน้อย 4 คนเสียชีวิต รวมถึงนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายจากมหาวิทยาลัยอัล-อัซฮาร์ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงชื่อ อิหมัด อัล-ชาเออร์ (Imad al-Shaer) ที่ถูกสังหารขณะพยายามอพยพผู้บาดเจ็บ รายงานระบุว่าห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลได้รับความเสียหาย และบุคลากรทางการแพทย์ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน

สมรภูมิคร่าชีวิตนักข่าวมากที่สุดในประวัติศาสตร์

เหตุการณ์โจมตีโรงพยาบาลนาสเซอร์ทำให้ตัวเลขการสูญเสียนักข่าวในสงครามกาซาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากคณะกรรมการเพื่อการปกป้องนักข่าว (Committee to Protect Journalists – CPJ) ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา จนถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2025 มีนักข่าวและบุคลากรสื่อถูกสังหารแล้วอย่างน้อย 197 คน ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นสถิติสูงที่สุด นับตั้งแต่ CPJ เริ่มเก็บข้อมูลการสูญเสียนักข่าวในสถานการณ์ความเสี่ยงทั่วโลกตั้งแต่ปี 1992

หากย้อนดูข้อมูลก่อนหน้า CPJ ระบุว่า ปี 2024 เป็นปีที่มีนักข่าวเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเก็บสถิติ โดยมีนักข่าวถูกสังหารทั่วโลก 124 คน ซึ่งในจำนวนนี้มากถึง 82 คน เสียชีวิตในฉนวนกาซาเพียงพื้นที่เดียว ตัวเลขดังกล่าวสูงที่สุดที่เคยบันทึกไว้ในรอบกว่าสามทศวรรษ และยังกลายเป็นหลักฐานสะท้อนว่า สงครามกาซาได้สร้าง ‘จุดเปลี่ยนเชิงสถิติ’ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ความปลอดภัยของสื่อมวลชน

ขณะที่สหพันธ์นักข่าวนานาชาติ (International Federation of Journalists – IFJ) ประเมินว่า จำนวนนักข่าวที่เสียชีวิตในสงครามกาซาอาจสูงกว่า 219 คน ส่วน ข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า มีนักข่าวปาเลสไตน์อย่างน้อย 242 คน เสียชีวิตจากการสู้รบในฉนวนกาซา นับจนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2025 ซึ่งสอดคล้องกับรายงานขององค์กรข่าวอื่นๆ ที่ต่างยืนยันว่าตัวเลขล่าสุดอยู่ระหว่าง 200–270 คน

แม้จำนวนนักข่าวที่เสียชีวิตในสงครามกาซา จะไม่ใช่ตัวเลขที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสงครามรัสเซีย–ยูเครนในช่วงสองปีแรก (2022–2024) ปรากฏว่า มีสถิติที่น่าสนใจมาก คือ ข้อมูลจาก CPJ ระบุว่า ในช่วงสองปีแรกของสงครามรัสเซีย–ยูเครน มีนักข่าวเสียชีวิตทั้งหมดแค่ 18 คน เท่านั้น ความแตกต่างเชิงสถิติที่ห่างกันหลายสิบเท่านี้ตอกย้ำว่า สงครามกาซากำลังถูกบันทึกว่าเป็น สมรภูมิที่คร่าชีวิตนักข่าวมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่

ท้าทายกรอบกฎหมายมนุษยธรรม

การสังหารนักข่าวจำนวนมากในฉนวนกาซาได้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อกรอบกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามพิธีสารเพิ่มเติมต่ออนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 ค.ศ. 1977 มาตรา 79 กำหนดให้นักข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สู้รบถือเป็นพลเรือน และต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป เว้นแต่มีการเข้าร่วมการสู้รบโดยตรง ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานยืนยันว่า นักข่าวในฉนวนกาซามีส่วนร่วมในการปฏิบัติการทางทหาร

ในกรณีของโรงพยาบาลนาสเซอร์ The Washington Post อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ศาสตราจารย์อาดิล เฮก ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายสงคราม จากมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ชี้ว่า การโจมตีโรงพยาบาลถือว่าผิดกฎหมาย เว้นแต่มีการพิสูจน์และมีหลักฐานชัดเจนว่าโรงพยาบาลถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ทางทหารและมีการเตือนล่วงหน้า และก็ต้องมีมาตรการป้องกันเพื่อลดความเสียหายต่อพลเรือน

ขณะเดียวกัน สหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า การโจมตีโรงพยาบาลและบุคลากรการแพทย์เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยตรง เนื่องจากโรงพยาบาลมีสถานะคุ้มครองตามอนุสัญญาเจนีวา เช่นเดียวกับบุคลากรสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือชีวิต ข้อกังวลจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการสังหารนักข่าว แต่ยังรวมถึงการคุ้มครองผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านมนุษยธรรมทั้งหมด

เสียงประณามจากทั่วโลก กับคำถามที่ไร้คำตอบ

เหตุโจมตีครั้งนี้นำไปสู่เสียงประณามจากหลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ เดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “สยดสยองกับการโจมตีที่นาสเซอร์ พลเรือน บุคลากรแพทย์ และนักข่าวต้องได้รับการคุ้มครอง เราต้องการการหยุดยิงทันที”

ขณะที่เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ “ไม่อาจยอมรับได้” ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวสั้นๆ กับผู้สื่อข่าวว่า “ผมไม่พอใจเลย”

ด้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู อธิบายว่าเป็น “โศกนาฏกรรมจากความผิดพลาด” พร้อมยืนยันว่ากองทัพอิสราเอลจะทำการสอบสวน อย่างไรก็ตาม รายงานจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อสากลชี้ว่า การสอบสวนภายในของอิสราเอลในอดีตมักไม่ได้นำไปสู่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน

ท่ามกลางตัวเลขผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น กฎหมายมนุษยธรรมที่บัญญัติไว้อย่างชัดเจน และแรงกดดันจากประชาคมโลก คำถามที่ยังคงค้างคาอยู่คือ การสอบสวนครั้งนี้จะสามารถสร้างความโปร่งใสและความรับผิดได้จริงเพียงใด หรือจะกลายเป็นเพียงอีกหนึ่งกรณีที่ปิดฉากลงโดยไร้คำตอบ เหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TODAY

ได้แต่ติดแอ๊ค ‘นิว ชยภัค’ เสิร์ฟซิงเกิลใหม่ล่าสุด ‘ติดแอ๊ค (ACT ACT ACT)’ ชอบเธอมาก แต่ไม่กล้าจีบ

19 นาทีที่แล้ว

SC Asset เปิดตัวโครงการ “โค้บบ์ ลาดพร้าว – สุทธิสาร” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ เจาะตลาดนิวเจน รุกเซ็กเมนต์ราคาเข้าถึงได้ในรอบทศวรรษ

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่น ๆ

กองทัพเมียนมาโจมตีเมืองโบราณในรัฐยะไข่ ดับอย่างน้อย 12 ราย

เดลินิวส์

เด็กจีน ลงเล่นน้ำทะเลเหยียบปลาตายครีบทิ่มเท้า ติดเชื้อรุนแรง

อีจัน

หัวจะปวด พ่อแม่โคลอมเบียตั้งชื่อลูกสาว “Chat Yipiti” เพื่อยกย่อง Chat GPT

Thaiger

จีนสั่งเบรก ‘สงครามส่งด่วน’ ขึ้นค่าส่งอีคอมเมิร์ซ ยุติศึกหั่นราคา

กรุงเทพธุรกิจ

ยกย่องฮีโร่หนุ่มนายแบบ ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยสองเหยื่อสาวจนโดนแทงบาดเจ็บและเสียโฉม

เดลินิวส์

นักแสดงสาว สะท้อนชีวิตและความเจ็บป่วย ต้องต่อสู้มา5ปี หลังหย่าร้างกับนักธุรกิจดัง (ข่าวต่างประเทศ)

News In Thailand

เจ้าแม่แห่งการตุน ลั่นอยู่กัน 5 คน ของกินพร้อม ไม่อดตาย รับมือทุกสถานการณ์ แพลนเพิ่มอีก

Khaosod

การขายชาติของ'นายกฯ ที่คนเกลียดตลอดกาล'กับข้อตกลงสันติภาพที่แลกมาด้วยการเสียดินแดน

The Better

ข่าวและบทความยอดนิยม

สงคราม = น้ำมันแพง? เมื่อความเชื่อเก่าอาจใช้ไม่ได้กับยุคใหม่อีกต่อไป

TODAY

‘อิสราเอล’ ประเทศแร้นแค้นที่เต็มไปด้วยศัตรูรอบด้าน สู่ ‘Startup Nation’ อันดับ 3 ของโลก กับจำนวน 90 ยูนิคอร์น

TODAY

‘นิวเคลียร์คือทางรอด’ บทเรียนจากสงครามตะวันออกกลาง อาจกระตุ้นเกาหลีเหนือเร่งพัฒนานิวเคลียร์

TODAY
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...