หัวปลาช่องนนทรี ดันแบรนด์ ‘ติดตู้’ ลุยอาหารแช่แข็ง สานครัวไทยสู่ครัวโลก
“หัวปลาช่องนนทรี” แบรนด์ร้านอาหารไทย ซีฟู้ด ที่อยู่ในวงการธุรกิจร้านอาหารยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ จากผู้ก่อตั้ง “กฤช-แป๋ว ลิมป์รัตนกาญจน์” ปัจจุบันมี “ทายาทรุ่น 2” ช่วยสืบสานกิจการให้เติบใหญ่ แม้ช่วงโควิด-19 ระบาด ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบหนักหน่วง อีกด้านหลายแบรนด์ใช้ห้วงเวลาแห่ง “วิกฤติ” พลิกเป็น “โอกาส”
อัศวิน ลิมป์รัตนกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวปลาช่องนนทรี จำกัด ทายาทรุ่น 2 ฉายภาพว่า ธุรกิจร้านอาหารเผชิญภาวะซบเซาตั้งแต่โควิดระบาด เกิดการ“ปรับตัว” ให้สอดคล้องสถานการณ์ ซึ่งเดิมร้านหัวปลาช่องนนทรี รอให้ผู้บริโภคมาทานอาหารที่ร้าน แต่ปัจจุบันมีบริการมากกว่านั้น เมื่อบริษัทได้ปลุกปั้นแบรนด์ “ติดตู้” สร้างสรรค์อาหารจานเด็ดของร้านมาเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมปรุงไม่ว่าจะปูผัดผงกระหรี่ หมูสะเต๊ะ เพื่อให้ผู้ชื่นชอบการทานนำไปปรุงสุกเองได้ง่ายที่บ้าน
นอกจากนี้ ยังขยายโอกาสขายสู่ผับ บาร์ สถานบันเทิง ร้านอาหารในต่างประเทศ หรือ B2B มีจุดเด่นที่ความสด 99% รสชาติต้นตำรับ และต้นทุนที่ชัดเจน ควบคุมได้ ไม่มี “ต้นทุนอื่นงอกเงย” ช่วยประหยัดต้นทุนทางเวลา เพราะแต่ละเมนูใช้เวลาปรุงสุก 15 นาที เทียบปกติทำอาหารใช้เวลาราว 30 นาที
“ธุรกิจร้านอาหารจะมีต้นทุนแปรผันหรือ Variable Cost ราว 10% ที่กดยังไงก็กดไม่ลง แต่การทำตลาดของติดตู้จะควบคุมต้นทุนตรงนี้ให้กับร้านอาหารได้”
การทำร้านอาหาร คือ ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการลิ้มลองความอร่อยนอกบ้าน เมื่อทำ “ติดตู้” ครอบครัวมีความกังวล และตั้งคำถามเมื่อทานที่ร้านอิ่มแล้วจะซื้อกลับไปปรุงเองที่บ้านอีกหรือ แต่จากชิมลางตลาดมาต่อเนื่อง ผลตอบรับดีทั้งลูกค้ารายย่อย และลูกค้า B2B ในประเทศจำนวนมาก ก้าวต่อไปคือการมองตลาดต่างประเทศ และสานเป้าหมายครัวไทยสู่ครัวโลก
ภายใต้การนำทัพของทายาทรุ่น 2 “อัศวิน” วางเป้าหมายอยากพาแบรนด์ร้านอาหารของไทย นำร่อง “ติดตู้” ไปเจาะตลาดต่างประเทศ โดย 2 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัวในงานไทยเฟ็กซ์ เพื่อหาลูกค้า พันธมิตร และภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะไปร่วมงาานแสดงสินค้า ออกบูธที่ฮ่อง รวมถึงมองการขยายตลาดสิงคโปร์ด้วย
“แบรนด์ติดตู้ ต้องการไปต่างประเทศให้ได้ เพราะสินค้าบางรายการอย่างต้มยำกุ้ง เคยนำไปเปิดตลาดที่คาซัคสถาน ลูกค้าสนใจ เพียงใส่ เนื้อสัตว์ ผัก เห็ดต่างๆ เลือกเติมตามต้องการ เมื่อตลาดมีศักยภาพ สินค้าเหมาะสมกับความต้องการผู้บริโภค เชื่อว่าไปต่อได้ และติดตู้ถือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ จากเดิมตลาดมักมีไก่ทอด หมูทอด เฟรนช์ฟราย เป็นหลัก”
แต่การพาแบรนด์ไทยติดตู้ปักหมุดครัวไทยสู่ครัวโลก ไม่ง่าย เพราะความท้าทายสำคัญคือการยกระดับครัวกลางให้มีมาตรฐานการผลิตระดับสากล ซึ่งต้องลงทุนเงิน แรงงาน เวลา และต้องใช้องค์ความรู้ค่อนข้างมาก สิ่งนี้ต้องมาพร้อมกับ “ดีมานด์” ลูกค้า เพื่อบาลานซ์รายได้ของธุรกิจ
อย่างไรก็ดี หลังเปิดตลาดฮ่อง สิงคโปร์ ที่มีวัฒนธรรมการทานอาหารที่หลากหลาย คาดหวังจะมีลูกค้าจากประเทศอื่นตามมา อีกด้านยังมองการขยายสู่กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ด้วย
ส่วนร้านอาหารหัวปลาช่องนนทรี ปัจจุบันมี 9 สาขา ที่ผ่านมาได้ “ยุติ” สาขาในห้างค้าปลีก เหลือเพียง 1 สาขา ที่เมกา บางนา เพราะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ด้านการเปิดร้านใหม่ ยังต้องพิจารณาสภาพเศรษฐกิจกำลังซื้อ และมองโอกาสขยายไปทำเลใหม่ เช่น กรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ รังสิต ลาดพร้าว จากจุดแข็งมีร้านเดี่ยว (สแตนอะโลน) ย่านพระราม 3 และ บางนา
ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว ร้านจัดเต็มโปรโมชันดึงลูกค้า นำเมนูขายดีอันดับ 2-3-4 เช่น ผัดผงกะหรี่ ปลากระพงทอดน้ำปลา มามัดรวม (Bundle) เพื่อ “ลดราคา” กระตุ้นการตัดสินใจซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และใช้ที่หน้าร้าน
“เมนูขายดีอันดับ 1 ลูกค้าสั่งอยู่แล้ว จึงเอาเมนูรองมาลดราคามากเท่าที่ยังเหลือช่องว่างกำไร เพื่อให้ลูกค้าจ่ายเงินไปก่อน และกลับมาทานที่ร้านในวันถัดไป การทำโปรโมชันควรทำในเดือนที่ยอดขายน้อย เพื่อให้มีกระแสเงินสดเข้ามาหมุนธุรกิจ ไม่ใช่นำเงินอนาคตมาใช้”
สำหรับภาพรวมธุรกิจร้านอาหารปี 2568 ครึ่งปีแรกยอดขายเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งทั้งปีบริษัทต้องการผลักดันให้เติบโต 3-5% ขณะที่ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบผลประกอบการปี 2567 มีรายได้รวมกว่า 289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.88%