โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘ทริสเรทติ้ง’ เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบัน ‘ดั๊บเบิ้ล เอ (1991)’ มาอยู่ที่ระดับ ‘BBB+’ จากระดับ ‘BBB’

ไทยโพสต์

อัพเดต 2 กันยายน 2568 เวลา 22.45 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) มาอยู่ที่ระดับ 'BBB+' จากระดับ 'BBB' พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น 'Stable' หรือ 'คงที่' จาก 'Positive' หรือ 'บวก' การปรับเพิ่มอันดับ เครดิตสะท้อนถึงตัวชี้วัดด้านเครดิตที่เข้มแข็งขึ้นของบริษัทจากภาระหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

2 ก.ย. 2568 - นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาทและมีอายุไม่เกิน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยบริษัทวางแผนจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และ/หรือใช้สำหรับการดำเนินธุรกิจอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้นำการผลิตกระดาษสำนักงานในระดับโลก ตลอดจนตราสัญลักษณ์ “ดั๊บเบิ้ล เอ” (Double A) ที่แข็งแกร่ง และการดำเนินงานแบบครบวงจรของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอุปสงค์ของกระดาษพิมพ์เขียนที่ชะลอตัวในระยะยาว รวมถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษ

ขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังเห็นว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินและตัวชี้วัดด้านเครดิตที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่น่าพอใจและการบริหารจัดการทางการเงินที่มีวินัยทำให้บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 9.1 พันล้านบาท ณ เดือน มิถุนายน 2568 จากระดับ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทในช่วงหลายปีก่อนหน้า

ซึ่งความพยายามในการลดระดับหนี้สินดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่าซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสำหรับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในระยะข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้อยู่ในระดับ 2-3 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ระดับ 25%-35% เอาไว้ได้ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 40%-50% จากในอดีตที่สูงกว่า 60% ทั้งนี้ ความตั้งใจของบริษัทที่จะรักษาตัวชี้วัดด้านเครดิตเหล่านี้อย่างระมัดระวังก็เป็นปัจจัยที่สนับสนุนต่อการปรับเพิ่มอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ จากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารเงินทุนหมุนเวียนและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและความได้เปรียบด้านต้นทุนเอาไว้ โดยสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินลงทุนจำนวนประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2568-2570 ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ไปในการปรับปรุงการผลิตเยื่อกระดาษ ส่วนการจ่ายเงินปันผลนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.9-1.2 พันล้านบาทต่อปี

ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจแม้กำไรในปี 2568 จะลดลงก็ตาม โดยคาดว่า EBITDA จะอยู่ในระดับต่ำสุดที่ 3.3 พันล้านบาทและเงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ระดับ 2.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ อุปทานเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายใหญ่รายหนึ่งคาดว่าจะส่งผลกดดันต่อราคาเยื่อกระดาษซึ่งอาจจะกระทบต่อทั้งราคาขายกระดาษและอัตรากำไรโดยรวมของบริษัทในที่สุด

พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้าจากสมมติฐานที่ประเมินว่าราคาเยื่อกระดาษจะมีเสถียรภาพและการขยายตลาดของบริษัทจะสำเร็จผลตามแผน โดย EBITDA คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.5-3.8 พันล้านบาทต่อปีและเงินทุนจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2.7-3.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2569-2570

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 2.3-2.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2568-2570 โดยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นน่าจะช่วยชดเชยผลกระทบจากราคากระดาษและเยื่อกระดาษที่ลดลงได้ ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) นั้นคาดว่าจะอยู่ในระดับน่าพอใจที่ประมาณ 14.0%-15.5% ในช่วงเวลาดังกล่าวมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง

โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในการผลิตกระดาษรีมเล็ก (Cut-size Paper) และความได้เปรียบด้านต้นทุนเอาไว้ได้ โดยตราสัญลักษณ์ “ดั๊บเบิ้ล เอ” ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและช่องทางการตลาดที่แข็งแกร่งช่วยทำให้บริษัทมีรายได้ที่ยังคงเติบโตและมีอัตรากำไรที่แข็งแกร่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่อุปสงค์กระดาษชะลอตัวและวงจรอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษที่มีความผันผวนก็ตาม

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงยึดกลยุทธ์ “Last-man Standing” ของตนเอาไว้และมุ่งเน้นการผลิตกระดาษรีมเล็กมากกว่ากระดาษบรรจุภัณฑ์ความได้เปรียบด้านต้นทุนของบริษัทเกิดจากการผสานการดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบในการผลิตกระดาษร่วมกับโรงงานเยื่อกระดาษของบริษัทเอง

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการปลูกต้นยูคาลิปตัสและพัฒนาแปลงปลูกเองเพื่อให้สามารถจัดหาวัตถุดิบไม้สับสำหรับการผลิตกระดาษที่มีต้นทุนต่ำและมีความมั่นคง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีการจ่ายเงินล่วงหน้าจำนวน 1.6 พันล้านบาทสำหรับการจัดหาไม้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นการทำธุรกรรมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีวัตถุดิบที่เพียงพอ มีสภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสถานะด้านสภาพคล่องที่เพียงพอ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 5.2 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 2.4 พันล้านบาท ในขณะเดียวกัน บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องซึ่งประกอบด้วยเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกันอยู่ที่จำนวน 4 พันล้านบาท รวมทั้งยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ที่มูลค่าจำนวน 1.5 พันล้านบาทอีกด้วย และหากรวมการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 3 พันล้านบาทเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วยแล้ว แหล่งสภาพคล่องของบริษัทก็น่าจะเพียงพอในการรองรับภาระหนี้ที่กำลังจะครบกำหนดได้ทั้งจำนวนหุ้นกู้ของบริษัทมีข้อกำหนดสำคัญที่ให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนที่ระดับไม่เกิน 2 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนดังกล่าว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ระดับ 0.9 เท่า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้อย่างน้อยตลอดระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้าโครงสร้างหนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 หนี้เงินกู้รวมของบริษัทซึ่งไม่นับรวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนทั้งสิ้น 1.26 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน 1.3 พันล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 10.3%

บริษัทพึ่งพาหุ้นกู้เป็นแหล่งเงินทุนหลักเป็นอย่างมากโดยคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของหนี้สินรวม เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ บริษัทจึงได้จัดสรรการชำระงวดเงินอย่างมีวินัยและรักษาเงินสดสำรองไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ หุ้นกู้ของบริษัทที่สามารถชำระคืนได้ก่อนกำหนดก็ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

อย่างไรก็ดี แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งและมีผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินด้วยความระมัดระวัง ซึ่งน่าจะทำให้ผลกำไรและระดับหนี้สินของบริษัทสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

พลโทบุญสิน ชี้ 2 วิธี ได้คืนปราสาทพระวิหาร กัมพูชาทำทางขึ้นแต่คืบหน้าไม่มาก

19 นาทีที่แล้ว

พรรคประชาชน แถลงยังไม่ลงมติโหวตนายกฯ ถกต่อพรุ่งนี้เป็นวันที่สาม

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 2 ของ ‘ซี-นุนิว’ แสง สี เสียง โปรดักชันสุดอลังการ!

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เร่งช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวใหญ่ในอัฟกานิสถาน ยอดตายทะลุ 1,400 ราย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ส่งออก “รถอีวี” ความหวังฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

TNN ช่อง16

ครม.แต่งตั้ง”พิชิต หุ่นศิริ”ขึ้นอธิบดีกรมทางหลวงชนบท“จิรโรจน์ ศุกลรัตน์”นั่งผอ.สนข.คนใหม่

Manager Online

CHiQ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ระดับโลก เปิดเกมรุกตลาดไทยปลายปี 2025 ด้วยนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ และความร่วมมือกับ Global House

Positioningmag

“รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท” อาจไม่ได้ไปต่อ

TNN ช่อง16

ธุรกิจไม่ติด 'ยุบสภา' ตั้งรัฐบาลขั้วใหม่ แนะดึง 'มือดีเศรษฐกิจ' ร่วมบริหาร แก้ปากท้อง

MATICHON ONLINE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเงินบาทปิดตลาดที่ 32.40-ทยอยอ่อนค่าตามแรงซื้อคืนดอลลาร์

Manager Online

SCBX Joins MIT FinTechAI@CSAIL as Founding Member

AEC10NEWs

“การเมืองป่วน” ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายอาเซียน

TNN ช่อง16

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...