สะเก็ดเงิน ไม่ใช่แค่ผิวแห้ง! แยกให้ออก เข้าใจอาการและสาเหตุ วิธีรักษาที่ถูกต้อง
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อย แต่ยังมีความเข้าใจผิดในสังคมจำนวนไม่น้อย หลายคนคิดว่าเป็นโรคติดต่อ หรือโรคของผู้สูงอายุ ทั้งที่ความจริงแล้วโรคนี้เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ และสามารถเกิดได้ในคนทุกช่วงวัย
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอาการและสาเหตุของสะเก็ดเงินเพื่อหาแนวทางรักษาโรคอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นก้าวแรกในการดูแลสุขภาพผิวและสุขภาพใจให้ดีขึ้น
โรคสะเก็ดเงินคืออะไร? เมื่อผิวแห้งแตกอาจไม่ใช่แค่ผิวแพ้ธรรมดา
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) คือโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้ผิวหนังผลิตเซลล์ผิวเร็วกว่าเดิมทำให้อักเสบ จนเกิดเป็นแผ่นหนา ๆ สีขาวหรือเงินลอกเป็นขุย และมักจะคันหรือแสบร่วมด้วย โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อาการดีขึ้นได้ด้วยการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
อาการแบบไหนใช่โรคสะเก็ดเงิน? สังเกตให้ดี จะได้ดูแลได้ทัน
โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปนี่แหละ และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ดังนั้นเรามาเช็กกันหน่อยดีกว่าว่า “อาการของโรคสะเก็ดเงิน” ที่แต่ละคนเป็นแม้จะแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะมีลักษณะเด่นที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
ผื่นแดง ผิวหนา ลอกเป็นขุยสีเงิน
ผื่นมักมีรอยนูนสีแดงและผิวบริเวณนั้นจะหนากว่าปกติ มีลักษณะเป็นขุยสีขาวเงิน ซึ่งเกิดจากการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วกว่าปกติ ผื่นเหล่านี้อาจมีจำนวนไม่มากหรือกระจายกว้างทั่วร่างกาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
คัน แสบ หรือแห้งจนแตก
ผู้ป่วยหลายรายจะรู้สึกคัน บางครั้งอาจมีความรู้สึกแสบหรือระคายเคืองผิวร่วมด้วย หากผิวแห้งมากอาจถึงขั้นแตกและมีเลือดซึมได้ อาการเหล่านี้มักทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
มักพบบริเวณหนังศีรษะ ข้อศอก หัวเข่า หลังส่วนล่าง
ตำแหน่งที่พบบ่อยคือบริเวณที่มีแรงเสียดทานหรือถูกกดทับบ่อย ๆ เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือหลังส่วนล่าง ในบางรายอาจพบที่หนังศีรษะ ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นแค่รังแคธรรมดา
อาจมีเล็บผิดปกติ
เล็บของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจมีลักษณะหนา เปราะ หรือมีรูบุ๋มเล็ก ๆ คล้ายถูกเข็มจิ้ม มีการยกตัวของเล็บจากฐาน ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย
บางรายอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย
ในบางกรณี โรคสะเก็ดเงินจะมีอาการปวด บวม หรือข้อยึดร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่า “สะเก็ดเงินชนิดข้อ (Psoriatic Arthritis)” อาการนี้ควรได้รับการดูแลโดยเร็วเพื่อป้องกันข้อเสียหายถาวร
ตำแหน่งที่มักพบผื่นสะเก็ดเงิน
หนังศีรษะ
ข้อศอก หัวเข่า
หลังส่วนล่าง
ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
รอบสะดือ หรือบริเวณอวัยวะเพศ
เล็บมือและเล็บเท้า
สาเหตุการเกิดโรคสะเก็ดเงิน
ไม่ใช่เพราะไม่สะอาด! โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ หรือการดูแลผิวไม่ดี แต่เกิดจาก ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ที่ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วเกินไป จนเกิดการสะสมและอักเสบของผิวหนัง
ปัจจัยกระตุ้นที่ควรระวัง ได้แก่
ความเครียด
เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นสำคัญ ความเครียดเรื้อรังสามารถกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ง่าย ผู้ป่วยควรหาเวลาผ่อนคลายอย่างสม่ำเสมอ
การติดเชื้อ
โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่น การติดเชื้อจากเชื้อสเตรปโตคอกคัสอาจกระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงินชนิดเฉียบพลันได้
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
เช่น ในช่วงวัยรุ่น ตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลต่อระดับภูมิคุ้มกันแปรปรวน ทำให้โรคกำเริบ
การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาความดัน
ยาบางกลุ่ม เช่น Beta-blockers, ยาลิเทียม หรือยาต้านมาลาเรีย อาจกระตุ้นหรือทำให้อาการแย่ลง
การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
เป็นปัจจัยที่กระตุ้นการอักเสบในร่างกาย และสัมพันธ์กับอาการที่รุนแรงมากขึ้น
พันธุกรรม
หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงในการเป็นโรคสะเก็ดเงินจะสูงขึ้น
รักษาโรคสะเก็ดเงินอย่างไร? หมอมีคำแนะนำที่ใช้ได้จริง
แม้ว่าโรคสะเก็ดเงินจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ คือเป็นแล้วครั้งหนึ่ง ก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ แต่สามารถควบคุมอาการให้ดีขึ้นได้ ด้วยการรักษาที่ถูกวิธี และขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยมีแนวทางหลัก ๆ ดังนี้
ใช้ยาทาภายนอก
เช่น ครีมสเตียรอยด์ วิตามินดี หรือยาทาลดการอักเสบ เพื่อช่วยลดผื่น บรรเทาอาการคัน และให้ความชุ่มชื้นกับผิว ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
ใช้ยารับประทานหรือฉีด
ในรายที่อาการรุนแรงหรือดื้อต่อการรักษาทางผิวหนัง อาจต้องใช้ยาควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Methotrexate, Cyclosporine หรือยาชีวภาพ (Biologics) ซึ่งให้ผลดีในการควบคุมอาการ
ฉายแสง UV (Phototherapy)
เป็นการใช้แสง UVB หรือ PUVA ในการลดการอักเสบของผิวหนัง โดยจะทำภายใต้การควบคุมอย่างปลอดภัยในคลินิกหรือโรงพยาบาล
คำแนะนำจากแพทย์
ไม่ควรซื้อยามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ผิวบางลง อาการกำเริบ หรือเกิดผลข้างเคียงในระยะยาวได้
อาการแบบไหนที่ควรหาหมอด่วน? อย่ารอให้โรครุนแรงจนควบคุมยาก
แม้โรคสะเก็ดเงินหลายกรณีจะสามารถดูแลเบื้องต้นด้วยตนเองได้ แต่มีบางอาการที่หากเกิดขึ้นแล้ว ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินและเริ่มการรักษาโดยเร็ว เพราะการปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้นจนกระทบต่อชีวิตประจำวันได้
- มีไข้ร่วมกับผื่นแดงและลอกผิวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นภาวะสะเก็ดเงินชนิดรุนแรง (Erythrodermic Psoriasis)
- มีอาการปวด บวม และข้อยึดหลายข้อ โดยเฉพาะนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า หรือข้อเข่า อาจเป็นภาวะสะเก็ดเงินชนิดข้อ
- มีอาการแสบผิว ผิวแดง คันรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
- ใช้ยาทาแรงๆ เองต่อเนื่อง แต่ผื่นไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง
- มีอาการซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล เพราะผื่นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์หรือการเข้าสังคม
หากมีข้อสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นโรคสะเก็ดเงินหรือไม่ การพบแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และวางแผนการดูแลได้ทันก่อนที่โรคจะลุกลาม
แนะนำวิธีป้องกัน-ลดโอกาสกำเริบของโรคสะเก็ดเงิน
แม้โรคสะเก็ดเงินจะไม่สามารถหายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดโอกาสกำเริบได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม
พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด
การนอนหลับและการจัดการอารมณ์มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ทำสมาธิ หรือออกกำลังกายเบา ๆ
หลีกเลี่ยงการเกา หรือการบาดเจ็บที่ผิว
เพราะการอาการระคายเคืองหรือมีแผลเล็ก ๆ อาจไปกระตุ้นให้เกิดผื่นใหม่ขึ้นในบริเวณนั้นซ้ำอีก
เลือกรับประทานอาหารที่ลดการอักเสบ
เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ปลาแซลมอน อะโวคาโด หรือถั่วเปลือกแข็ง หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
สารเหล่านี้จะไปกระตุ้นการอักเสบและทำให้การรักษาได้ผลน้อยลง
ใช้ครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นเป็นประจำ
การทาครีมหลังอาบน้ำจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ลดอาการแห้ง คัน และลอกของผิวได้อย่างดี
สรุป โรคสะเก็ดเงิน ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่อาจส่งผลต่อสุขภาพแบบเรื้อรัง ถ้ายังมีความเชื่อผิด ๆ และรักษาแบบผิด ๆ
โรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่ควรเป็นสาเหตุของการตีตราหรือหลีกเลี่ยงผู้ป่วย เพราะความเข้าใจผิดอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว การเปิดใจและให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการคล้ายที่กล่าวมา อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก เพราะ ยิ่งเริ่มดูแลเร็ว ก็ยิ่งควบคุมอาการได้ดีและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ