UVU แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายมาแรงที่ออกแบบด้วยจิตวิญญาณของอดีตทหารอากาศ
หากคุณเป็นคนที่สนใจในเรื่องราวของกีฬา โดยเฉพาะการวิ่ง นอกจากการก้าวออกไปบนเส้นทางวิ่งต่างๆ ที่น่าตื่นเต้น อีกหนึ่งความสนุกคือ การเลือก ‘เครื่องแต่งกาย’ ที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ในแง่คุณภาพของสินค้า แต่สำหรับยุคนี้แล้ว ‘การออกแบบ’ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
ในโลกของกีฬาและแฟชั่น มีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่พยายามตีความคำว่า ‘ประสิทธิภาพ’ ให้มีมิติที่มากกว่าความเร็วหรือความทนทาน แต่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่สามารถถ่ายทอดความแข็งแกร่งภายในจิตใจผ่านเสื้อผ้าได้อย่างลึกซึ้ง
และหนึ่งในนั้นคือ UVU แบรนด์ที่มีจุดเริ่มต้นจากอดีตทหารอากาศที่ใช้ประสบการณ์ในสนามรบ ผสานเข้ากับความหลงใหลในความแข็งแกร่งทางกายและใจ ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่กำลังมาแรงในขณะนี้
ไม่ได้มาจากโลกกีฬา ไม่ได้มาจากสายแฟชั่น ไม่ได้มีโลโก้ใหญ่โต แต่ทำไมแบรนด์ UVU ถึงกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และครองใจคนที่อยากออกกำลัง รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นทั่วโลก
คำตอบอาจเป็นเพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ แต่มันคือแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่เริ่มต้นจากจิตวิญญาณและความเข้าใจความเป็นมนุษย์ นั่นทำให้ UVU เชื่อมโยงกับความรู้สึกในทุกการสวมใส่
คอลัมน์ Biztory รอบนี้จะพาไปรู้จักแบรนด์ UVU ที่ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่เปลี่ยนแนวคิดในความธรรมดาของเสื้อผ้ากีฬาให้แฝงไปด้วยความหมาย เรื่องราว และจิตวิญญาณ
พรสวรรค์และโชคชะตา
ปี 1990 อาดี กิลเลสไพน์ (Adi Gillespie) เกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็ก เขามีพรสวรรค์เรื่องกีฬา นั่นทำให้เขาได้เข้าสู่โลกของยิมนาสติกตั้งแต่อายุประมาณ 6 ขวบ
ในเวลานั้น อาดีได้เข้าฝึกซ้อมร่วมกับนักยิมนาสติกทีมชาติอังกฤษ (Team GB) และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะการควบคุมร่างกายและความแข็งแรงตั้งแต่ยังเล็ก
สองปีถัดมา ในวัย 8 ขวบ อาดีเริ่มฝึกยิมนาสติกอย่างจริงจัง ขณะที่เล่นกีฬารักบี้ควบคู่กันไป นั่นยิ่งเสริมสร้างพละกำลังและประสาทสัมผัสในการเคลื่อนไหวให้เพิ่มขึ้น กล่าวได้ว่า ทั้งยิมนาสติกและรักบี้ คือกีฬาที่ทำให้อาดีมีร่างกายที่แข็งแรง มีความคล่องตัว และมีสมดุลที่ดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเป็นนักกีฬา
ด้วยพรสวรรค์และการพัฒนาอย่างถูกทิศทางตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อถึงวัย 11 ปี อาดีนับว่ามีร่างกายที่แข็งแรงและยืดหยุ่นมากเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน รวมถึงทักษะในการเล่นรักบี้ที่ถูกบ่มเพาะมา ทำให้เขาได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬารักบี้ของทีม Devon รุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี และได้เข้าร่วม South West England Rugby Academy ซึ่งเป็นอคาเดมีที่พัฒนานักกีฬารุ่นเยาว์ ทั้งในแง่ของการฝึกซ้อม และการศึกษา เพื่อโอกาสในการพัฒนานักกีฬาไปสู่จุดที่สูงยิ่งขึ้น
เส้นทางของอาดีกับโลกของการเป็นนักกีฬาอาชีพดูสดใส ทว่า หลังจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตก็มาถึง
อาดีได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ ซึ่งในวงการรักบี้เยาวชน การบาดเจ็บที่ข้อมือ เช่น กระดูกหักหรือเอ็นฉีก ถือเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย แต่อาจส่งผลระยะยาว ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะหรือออกกำลังกายหนักๆ โดยเฉพาะในช่วงวัยที่ร่างกายกำลังเติบโตอยู่
และสำหรับอาดี นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องยุติเส้นทางฝันในการเล่นรักบี้อาชีพไปตลอดกาล
สู่กองทัพอากาศ
ในวัย 17 ปี อาดีเข้ารับราชการในกองทัพอากาศอังกฤษ (RAF) เขาเลือกเส้นทางนี้แทนที่จะสมัครเป็นนาวิกโยธิน ตามคำแนะนำของพ่อ หลังจากจบการฝึกขั้นพื้นฐานที่เข้มข้น อาดีเรียนต่ออีกประมาณหนึ่งปีในสายงานเทคนิค ก่อนจะกลายเป็นช่างไฟฟ้าเครื่องบิน (Aircraft Electrician) และทำงานในสายงานดังกล่าวมาตลอด
กิจวัตรในกองทัพอากาศอังกฤษค่อนข้างมีความเป็นรูทีน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกะ 12 ชั่วโมงต่อวัน มีการประชุมบรีฟงานเช้าและเย็น เกี่ยวกับเครื่องบินที่จะเข้า-ออก รวมถึงการตรวจสอบดูแลระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เขายังเคยปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน ในการสนับสนุนทางเทคนิคให้แก่แนวรบด่านหน้าอีกด้วย
แม้ว่าเส้นทางในการเป็นนักกีฬารักบี้อาชีพของอาดีจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ระหว่างที่ประจำการในกองทัพ อาดียังมีโอกาสได้กลับมาเล่นรักบี้แบบ 7 คน และเล่นให้กับสโมสรอย่าง Samurai, London Wasps และ Rosslyn Park รวมถึงแข่งขันในต่างประเทศ เช่น ดูไบ และสหรัฐอเมริกา นับเป็นการเติมเต็มความรักที่มีต่อกีฬาให้แก่เขาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม กิจวัตรที่เป็นรูทีน ทำให้อาดีรู้สึกอึดอัดกับความซ้ำซาก และเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต ขณะที่สังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในระบบมานาน แต่ยังไม่มีสิ่งที่สร้างขึ้นมาเองนอกระบบราชการเลย แม้ว่าการรับราชการในกองทัพจะนำมาซึ่งโอกาสดีๆ มากมาย รวมถึงการได้กลับมาเล่นรักบี้ แต่อาดีก็มีความปรารถนาในใจลึกๆ ที่จะทำงานสร้างสรรค์และทำธุรกิจของตัวเอง
ในที่สุด หลังระยะเวลา 6 ปีในกองทัพ อาดีจึงตัดสินใจลาออก
ถอดเครื่องแบบสู่อาชีพอิสระ
ในช่วงที่ยังรับราชการในกองทัพ อาดีเคยลงคลิปออกกำลังกายในโซเชียล โพสต์ของเขามีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกกำลังกายออนไลน์ โดยเฉพาะการฝึกแบบคาลิสเทนิคส์ (Calisthenics) ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ ‘ร่างกาย’ ตัวเองเป็นแรงต้านร่วมกับแรงโน้มถ่วงโลก โดยไม่พึ่งพาอุปกรณ์มากนัก ทำให้ได้ทั้งความแข็งแรง ความอดทน และความยืดหยุ่น
หลังจากโพสต์คลิปลงโซเชียลบ่อยเข้า อาดีค่อยๆ สร้างฐานผู้ติดตามจนมีจำนวนเกินกว่า 150,000 คน กระทั่งเขาปลดประจำการ จึงเลือกเดินหน้าเต็มตัวในสายออกกำลังกาย โดยการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวและนักฟิตเนส ผ่านการผสมผสานทักษะการเคลื่อนไหวแบบยิมนาสติกที่มีเป็นทุนเดิมมาพัฒนากับการฝึกแบบคาลิสเทนิคส์ จนกลายเป็น ‘อินฟลู’ ในด้านนี้ เปิดโอกาสให้เขาได้เทรนให้กับลูกค้าระดับวีไอพี เช่น สมาชิกของราชวงศ์ซาอุฯ รวมถึงได้เดินทางทั่วโลกพร้อมกับการสร้างคอนเทนต์ด้านฟิตเนสและการออกกำลัง
การเดินทางของเขา จึงนำพาให้กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา
https://www.tiktok.com/@uvuclub/video/7204857953860472069?lang=en
You Vs You
ปี 2017 อาดีได้ก่อตั้งแบรนด์ UVU ภายใต้ปรัชญา ‘You Vs You’ ซึ่งมีนัยหมายถึง ‘การต่อสู้ภายในของตัวเอง’ ทั้งร่างกายและจิตใจ เขาต้องการให้ UVU เป็นแบรนด์แห่ง ‘นวัตกรรมในเครื่องแต่งกายกีฬา’ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญ และใช้เทคนิควัสดุขั้นสูงสุด นำเสนอสินค้าที่มุ่งเน้นคุณภาพ ความทนทาน และฟังก์ชั่นการใช้งานในทุกสภาพอากาศ ขณะเดียวกัน ยังมี ‘สุนทรียะ’ ในการใช้งานด้วย
UVU กำเนิดขึ้นโดยมีสโลแกนว่า ‘The graceful pursuit of a superior self’ หรือ ‘การแสวงหาตัวตนที่ดีกว่าอย่างสง่างาม’ โดยมุ่งเน้นให้ผู้สวมใส่รู้สึกเสมือนว่ากำลังได้ ‘พัฒนาตนอย่างสง่างาม’ ไปพร้อมกัน
กล่าวได้ว่า แก่นของแบรนด์ UVU นั้นมาจากปรัชญาในช่วงรับราชการกองทัพของอาดี ทั้งการฝึก วินัยแบบทหาร การควบคุมร่างกาย การเคลื่อนไหวอย่างมีสติ ประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว การฝึกฝนความอึด การพัฒนาตนเอง รวมกับความหลงใหลที่มีต่อกีฬา จนกลายมาเป็นการออกแบบเสื้อผ้าที่รองรับอุณหภูมิตั้งแต่ −40 °C ถึง +40 °C เพื่อใช้กับการออกกำลังกายหนักๆ และการวิ่งระยะไกล
UVU จึงเป็นแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาที่รวมจุดเด่นด้านความทนทาน เทคโนโลยี และแฟชั่น เข้าไว้ด้วยกันอย่างพอดี ไม่ใช่แค่เสริมสมรรถนะ แต่ยังช่วย ‘สื่อสาร’ ถึงปรัชญาการแสวงหาตนเองให้ดียิ่งขึ้นของผู้สวมใส่
เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี
สินค้าของ UVU ครอบคลุมตั้งแต่เสื้อแจ็กเก็ต เสื้อเชิ้ต และเสื้อกีฬา ทุกชิ้นผ่านการทดลองอย่างเข้มข้นในสภาพอากาศสุดโต่งเพื่อให้ทนทานที่สุด
จุดเด่นสำคัญ คือการใช้เทคโนโลยีนาโนร่วมกับผ้าทอคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น เช่น ผ้าเจอร์ซีย์ (Japanese spun jersey) และอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford fabric) ซึ่งให้คุณสมบัติกันน้ำระดับฝนตกพรำ ระบายอากาศได้ดี และใช้การเชื่อมตะเข็บแบบพิเศษด้วยเทคนิคการเชื่อมด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแทนการเย็บ ทำให้เสื้อผ้ามีน้ำหนักเบา กันน้ำ กันลม และไม่เกิดการเสียดสีกับผิวหนัง ช่วยลดอาการระคายเคืองพร้อมดีไซน์แบบมินิมอล เน้นที่การใช้งานมากกว่าฟีเจอร์เยอะๆ
เสื้อกันหนาวบางรุ่นของ UVU อย่างเช่น Ultra Race Jacket หรือ Cold Race Jacket ใช้ผ้าเมมเบรนพิเศษที่สามารถเปิด-ปิดรูระบายได้ตามอุณหภูมิร่างกายและสภาพอากาศ เหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศตั้งแต่ -35 °C ถึง +10 °C หรือแม้แต่ -40 °C เมื่อต้องสวมหลายชั้นทั้งยังฝังเทคโนโลยีสวมใส่ เช่น GPS หรือเซนเซอร์สำหรับนักกีฬา ซึ่งเป็นทิศทางในอนาคตของแบรนด์
นอกจากนี้ UVU ยังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ผ้ารีไซเคิลและลดการปล่อยคาร์บอนระหว่างกระบวนการผลิต โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของเสื้อผ้าอีกด้วย
จากจุดเด่นทั้งหมด ทำให้เสื้อผ้าของ UVU เหมาะกับนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการชุดออกกำลังกายที่มีความทนทาน น้ำหนักเบา และสามารถใช้ได้ในสภาพอากาศหลากหลาย จนเว็บไซต์ Harlerunner ระบุว่า เสื้อวิ่งของ UVU มีน้ำหนักเบา ระบายเหงื่อได้ดีมาก ใส่สบายแม้ในสภาพอากาศร้อน และการตัดเย็บเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง ขณะที่ลูกค้าบน Trustpilot ให้คะแนนดีเยี่ยมในเรื่องคุณภาพวัสดุ ความเร็วในการจัดส่ง และการใช้งานจริง โดยเฉพาะเสื้อวิ่งและถุงเท้า
อึด ถึก ทน
หนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ UVU ประสบความสำเร็จมาจากกลยุทธ์เชิงธุรกิจและการตลาด
UVU วางตำแหน่งแบรนด์อย่างชัดเจน คือไม่ได้พยายามแข่งขันในตลาดเสื้อผ้ากีฬาทั่วไป แต่เลือกมุ่งเน้นไปยังตลาดเฉพาะ (niche market) อย่างกลุ่มนักกีฬาที่ชอบการแข่งขันแบบเอกซ์ตรีม เช่น อัลตร้ามาราธอน, การแข่งขันในทะเลทราย, ขั้วโลก, ภูเขา หรือสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทำให้ไม่ต้องแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ขายสินค้ากีฬาทั่วไป ทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดู ‘แข็งแกร่ง จริงจัง’ ตั้งแต่แรก
ภาพลักษณ์ความอึด ถึก ทน ของ UVU ไม่ใช่แค่เรื่องตำแหน่งทางการตลาด แต่ยังมีกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ผ่าน ‘การแข่งขันแบบเอกซ์ตรีม’ อย่างการแข่งขันวิ่งมาราธอนในขั้วโลกเหนือ, การแข่งวิ่งระยะไกลในทะเลทรายร้อนจัด และการแข่งขันในป่าดิบหรือหิมะหนาวจัด การเข้าไปมีส่วนสนับสนุนการแข่งขันเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ ‘ทนจริง’ ใช้ได้จริงในสถานการณ์ที่โหดหินที่สุด แถมยังเป็นการ ‘พุ่งเข้าใส่’ กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ร่วมแข่งขันหรือแฟนกีฬาโดยตรง
อีกความแตกต่างที่น่าสนใจของ UVU คือการไม่เลือกใช้เซเลบหรือดาราทั่วไปในการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่เลือกใช้นักกีฬาตัวจริงอย่างเช่น นักวิ่ง, นักผจญภัยขั้วโลก หรือผู้เข้าร่วมแข่งขันในการแข่งขันสุดโหดหิน ยิ่งทำให้แบรนด์ดู ‘จริง’ มากกว่าแค่โฆษณา มีความน่าเชื่อถือ และดูเป็นมืออาชีพ
ลองจินตนาการภาพว่า ระหว่างนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ กับดาราเซเลบ หากต้องมาเป็นพรีเซนเตอร์รองเท้าสตั๊ด ใครจะน่าเชื่อถือมากกว่า
สื่อสารผ่านความครีเอตและเรียล
หากยังจำกันได้ ในช่วงที่อาดีรับราชการในกองทัพ เขาเคยโพสต์คลิปออกกำลังกายลงโซเชียลจนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็ถูกต่อยอดมาสู่กลยุทธ์ทางการตลาดบนโลกออนไลน์เมื่อ UVU ก่อตั้งขึ้นแล้ว
ความครีเอตที่มากขึ้น คือ UVU เลือกทำงานร่วมกับครีเอทีฟระดับไฮเอนด์ เช่น แมค สก็อตต์ (Mac Scott) หรือเฮกเตอร์ เทรนด์ (Hector Trend) ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาพลักษณ์ผ่านศิลปะการเล่าเรื่อง เพื่อ ‘สื่อสาร’ ผ่านโฆษณาและภาพยนตร์สั้นที่เล่าเรื่องได้อย่างทรงพลัง
ตัวอย่างเช่น วิดีโอที่เน้นความดิบ เถื่อน หนักหน่วง อย่างภาพนักวิ่งฝ่าโคลนในพายุหิมะ, วิดีโอนักผจญภัยลุยน้ำแข็งหรือทะเลทรายร้อนจัด หรือคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น ‘Beyond Limits’ หรือ ‘Engineered for Survival’ เป็นการจับอารมณ์จริงของนักวิ่ง ความเจ็บปวด ความอึด มากกว่าความสวยงามในโฆษณา เสมือนเป็นการตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ ‘สร้าง’ ความพรีเมียม และ ‘เสริม’ ให้แบรนด์มีจิตวิญญาณมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ที่ซื้อสินค้าหรือผู้ชมรู้สึกว่า UVU เป็น ‘เครื่องมือ’ ที่พาให้ชนะขีดจำกัดของตัวเองได้ เมื่อรวมกับ ‘คุณภาพ’ ทางเทคนิคและนวัตกรรมของเสื้อผ้า ก็ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ของ UVU ตอบโจทย์ของผู้สวมใส่มากกว่าแค่ความสวยงาม แต่มันคืออุปกรณ์ที่ ‘ช่วยชีวิต’ ได้ในสนามจริง
ขณะเดียวกัน UVU ไม่เลือกผลิตสินค้าในปริมาณมาก และไม่ขายทั่วไปในห้าง แต่เลือกวางขายผ่านช่องทางเฉพาะ อย่างเว็บไซต์ของแบรนด์, ร้าน specialized outdoor หรือ sport gear หรือ การจัดอีเวนต์เปิดตัวแบบเฉพาะกลุ่ม ก็ยิ่งทำให้แบรนด์ไม่ดู ‘แมส’ เกินไป
ความไม่เน้นตลาดแมสนี่เอง ส่งผลต่อการเลือกลงโฆษณาและทำคอนเทนต์บนช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเฉพาะ อย่างเช่นกลุ่มนักวิ่ง กลุ่มเฟซบุ๊กนักผจญภัย งานอีเวนต์หรือเอกซ์โปที่เกี่ยวกับการวิ่ง ไปจนถึงยูทูบเกี่ยวกับการเดินทางแบบเอกซ์ตรีม
ถึงแม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่อย่าลืมว่ามันคือการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงด้วยความ ‘ลึก’ และ ‘จริงใจ’ ทำให้ผู้คนพร้อม ‘ควัก’ เงินซื้อสินค้าของ UVU มากไปกว่านั้น คือ เกิดความไว้วางใจและ ‘ภักดี’ ต่อแบรนด์สูงมาก เพราะเป็นสินค้าที่ไม่ใช่ใครก็ซื้อได้
มากกว่าแบรนด์แต่คือชุมชน
ไม่ใช่แค่เรื่องของปัจจัยเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้ UVU ได้ใจคนที่ซื้อสินค้า แต่ UVU สามารถ ‘สร้าง’ คอมมิวนิตี้ผ่านกิจกรรม และการสื่อสารผ่านโซเชียลได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแบรนด์
UVU มีการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานผ่านอินสตาแกรม และ Strava ในการจัดชาเลนจ์ แชร์เทคนิคฝึก และเรื่องราวผู้ใช้งาน เป็นการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม พร้อมกับรับฟีดแบ็กเพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ขณะที่หลังการขายก็มีการชวนให้ลูกค้าเข้าร่วมแอพฯ UVU เพื่อร่วมแบ่งปัน track achievements เสมือนเป็นการเชื่อมต่อกับชุมชนนักกีฬาและคนที่ต้องการปรับปรุงสมรรถภาพตนเองให้เติบโตมากขึ้น
ในปี 2023 UVU กลายเป็นข่าวดังด้วย pop-up ที่ขายสินค้าหมดเกลี้ยงในเมืองใหญ่ๆ อย่างปารีส มิลาน และนิวยอร์ก รวมถึงประสบการณ์ในการเวิร์กช็อป มีนักกีฬาได้รับเชิญขึ้นพูด และลองใช้สินค้าจริง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างคอนเนกชั่นกับกลุ่มนักกีฬาและผู้ที่มุ่งปรับปรุงสมรรถภาพตัวเอง
เมื่อเข้าสู่ปี 2024 UVU ก็ขยายธุรกิจไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซระดับโลกและการเปิดร้านป๊อปอัพที่ขายหมดเกลี้ยงในลอนดอนและเบอร์ลิน
การที่แบรนด์สามารถขายสินค้าได้หมดเกลี้ยงในแต่ละ pop-up ในหลายเมืองสำคัญ ยิ่งสะท้อนความสำเร็จและการเติบโตแบบ ‘Global but Local’ ได้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่แค่ยุโรป แต่ UVU ยังขยายไปยังตลาดเอเชียอย่างจีนและเกาหลีใต้รวมถึงอเมริกาเหนือ โดยปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค ผ่าน partnership อีเวนต์กีฬาท้องถิ่น และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์
เส้นทางเติบโตนี้เองทำให้ UVU ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้า แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ของคนที่มุ่งพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และสร้างคอมมิวนิตี้ของผู้ใช้สินค้าที่ ‘แข็งแรง’ และ ‘กระตือรือร้น’ อย่างแท้จริง
แบรนด์แห่งการแสวงหาตัวตน
“ผมคงไม่บอกว่า เราพยายามตั้งใจอย่างเต็มที่เพื่อจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาอื่นๆ ในตลาด เราเพียงแต่ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เราอยากเห็นในตลาดในฐานะผู้บริโภค ซึ่งมันควรจะให้ความรู้สึกใหม่ เป็นสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน”
อาดีเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2023 เกี่ยวกับแบรนด์ โดยชี้ว่า UVU ไม่ได้ตั้งใจแข่งขัน แต่โฟกัสที่การสร้างสินค้าที่เขาเชื่อว่าควรมีในตลาด
กล่าวได้ว่า แม้อาดีจะไม่ได้มาจากการเป็นนักธุรกิจ แต่สิ่งที่หล่อหลอมตัวตนและความแข็งแกร่งของเขามาตั้งแต่เด็ก เมื่อรวมกับความหลงใหลในโลกกีฬาและเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เขา ‘เชื่อ’ ว่าจะส่งผลต่อผู้สวมใส่ ทำให้ UVU ก้าวมาไกลในวันนี้
UVU ไม่ได้พยายามถูกใจทุกคน แต่เลือกสร้างสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ผ่านคุณภาพของสินค้า และภาพลักษณ์ที่สะท้อนจากตัวตนของแบรนด์แบบไม่เสแสร้ง นั่นทำให้ UVU ไม่ใช่แค่แบรนด์เสื้อผ้ากีฬา แต่เป็นแพลตฟอร์มทางวัฒนธรรมที่สร้างคอมมิวนิตี้ของผู้ใช้งานทั่วโลกให้เข้มแข็งและจับต้องได้จริง
จึงไม่น่าแปลกใจที่ UVU กำลังพลิกโฉมวงการวิ่งและชุดกีฬาอย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาจากวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งอย่างอาดี กิลเลสไพน์ สู่ปรากฏการณ์ระดับโลกผ่านสโลแกนของแบรนด์ที่ว่า
‘การแสวงหาตัวตนที่เหนือกว่าอย่างสง่างาม’
อ้างอิงข้อมูล :
menshealth.com/uk/fitness/a35161476/adi-gillespie
hypebeast.com/2023/12/uvu-ran-the-world-in-2023-interview
blog.writio.com/test-com/uvu-sportswear-brand-evolution
harlerunner.de/en/still-an-insider-tip-uvu-running-gear-put-to-the-test