คุยกับแบรนด์ Qanarn ถึงหลักคิดของเส้นขนานและการผสานเรขาคณิตกับวัฒนธรรมไทยให้ร่วมสมัย
‘Hey I’m not a Chair. That one is it!!!’
‘If you sit here, our designer might cry.’
นี่คือข้อความขี้เล่นที่สกรีนอยู่บนโต๊ะเตี้ยทรงสามเหลี่ยมของแบรนด์ Qanarn ซึ่งตั้งเป็นเซตคู่กับเก้าอี้เอาต์ดอร์ ที่โดดเด่นด้วยเส้นสายเรขาคณิตเฉียบคม ข้อความเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่เรียกรอยยิ้ม แต่ยังทำหน้าที่เตือนให้รู้ว่า “นี่ไม่ใช่เก้าอี้นะ” เพราะด้วยความเตี้ยและรูปทรงที่เรียบง่าย ทำให้หลายคนเผลอนั่งไปโดยไม่รู้ตัว
ที่โต๊ะยังติด QR code ให้แสกนเพื่ออ่านเรื่องราวเบื้องหลังของแบรนด์ ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Qanarn ไม่ได้ออกแบบแค่เพื่อนั่ง แต่เพื่อให้สนทนาเบาๆ กับผู้คนอย่างมีชั้นเชิง
แม้ความจริงแล้วเก้าอี้และโต๊ะเอาต์ดอร์เหล่านี้จะพูดไม่ได้ แต่กลับสามารถเรียกแขกและสื่อสารกับผู้คนที่แวะเวียนผ่านไปมาด้วยดีไซน์ได้อย่างน่าประหลาด ทั้งจากลุคขี้เล่นที่ใช้ฟอร์มเล่นกับรูปทรงเรขาคณิต แต่ยังคงความเรียบง่าย กลมกลืนกับแสง เงา ความร่มรื่น และความเงียบของพื้นที่โดยรอบที่ Velaa Sindhorn Village Langsuan ซึ่งเรามาเยือนวันนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เบื้องหลังการออกแบบแบรนด์ Qanarn (ขนาน) โดยสองนักออกแบบรุ่นใหม่ขนุน–ตรัยวิศว์ พงษ์บูรณกิจ และกานต์–กานต์ เทพสถิตย์ เกิดจากแนวคิดที่ผสานกันระหว่างเส้นสายและความสัมพันธ์ ในแง่หนึ่ง ทั้งคู่ใช้เรขาคณิตเป็นภาษาหลักของการออกแบบ ทั้งขีดเส้น เสริมมุม สร้างฟอร์ม
อีกแง่หนึ่ง พวกเขายังออกแบบวิธีอยู่ร่วมกันท่ามกลางความชอบที่ต่างกันแบบไร้ฟอร์ม โดยยึดหลักคิดว่า ความต่างไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง แต่สามารถแลกเปลี่ยนกันและหาเส้นทางที่ขนานไปด้วยกันได้
ทั้งคู่เลือกใช้อะลูมิเนียมและเหล็กเป็นวัสดุหลักของเฟอร์นิเจอร์ เพราะเชื่อว่ายิ่งวัสดุน้อยเท่าไหร่ เอกลักษณ์ของดีไซน์ก็ยิ่งสื่อสารออกมาได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
แนวคิดทั้งหมดนี้รวมกันออกมาเป็นคอนเซปต์ Cultural Geometry การออกแบบที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันผ่านฟอร์มที่เรียบง่ายแต่มีความหมาย ด้วยความเชื่อว่าดีไซน์ที่ดีไม่ใช่แค่สิ่งที่เรามองเห็น แต่คือสิ่งที่อยู่ร่วมกับชีวิตเราได้อย่างกลมกลืนที่สุด
Product
Pop Cultural Geometry
ขนุนเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งธุรกิจของตัวเองร่วมกับเพื่อนในวัย 20 ปลายว่า ที่มาที่ไปคือการอยากออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไทยคอนเซปต์ร่วมสมัยให้ดูสนุกขึ้น ป๊อปขึ้น เด็กขึ้น ผ่านวัสดุ สีสัน และสไตล์ที่ฉีกออกจากเฟอร์นิเจอร์ไทยในตลาดซึ่งมักมีภาพลักษณ์ค่อนข้างจริงจัง และมีความเป็นผู้ใหญ่
ทั้งขนุนและกานต์ต่างเติบโตมาในย่านเมืองเก่าและมีพื้นฐานการทำงานด้านการออกแบบภายใน จึงทำให้คุ้นชินกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมไทยที่ปรากฏอยู่รอบตัวตั้งแต่เด็ก กานต์เล่าย้อนว่า
“พวกผมเรียนสวนกุหลาบและมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนใหญ่การใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของเราก็จะอยู่ในเขตพระนคร จึงได้เห็นองค์ประกอบที่น่าสนใจมาตั้งแต่เด็ก เลยอยากเอาสิ่งเหล่านี้มาเล่าเรื่องให้คนอื่นฟังด้วย”
ขนุนยกตัวอย่างว่าองค์ประกอบทางเรขาคณิตในสถาปัตยกรรมไทยที่ทั้งคู่สังเกตเห็น เช่น จั่วของวัด ช่องลม และรั้วของป้อมเมืองที่มีรูปทรงโค้งเว้าและดีไซน์เฉพาะตัว ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หยิบรูปทรงเหล่านี้มาพัฒนาเป็นฟอร์มใหม่ในงานออกแบบ เพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรมดั้งเดิมให้กลายเป็นความร่วมสมัย
“งานออกแบบไทยยังมีรูปทรงที่น่าเอามาพัฒนาต่ออีกเยอะ มีทั้งวงกลมไตรภูมิ รูปทรงหกเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม ย่อมุม ต่อไปเราอาจทำผลงานจากรูปทรง geometry ที่ซับซ้อนเพื่อพัฒนาขึ้นไปอีก”
แรงบันดาลใจเหล่านี้เองที่กลายมาเป็นจุดตั้งต้นของคอนเซปต์ Cultural Geometry ที่ใช้เรขาคณิตเป็นภาษาหลักในการสื่อสารวัฒนธรรม แต่พูดด้วยภาษาการออกแบบของคนรุ่นใหม่ท่ีมีวิธีเล่าให้ป๊อปขึ้น แน่นอนว่าเอกลักษณ์ในการออกแบบย่อมมาจากความชอบในงานดีไซน์ของกานต์ที่สนใจกราฟิกรูปทรงสะดุดตาที่ซ่อนกิมมิกความฉูดฉาดเอาไว้
“ผมชอบความฉูดฉาด ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องสีสันเท่านั้น แต่หมายถึงรูปทรงด้วย ความเป็นเรขาคณิตที่พวกเราพูดถึงคือการหยิบจับฟอร์มเรขาคณิตมาใช้ แล้วตัดทอนมันให้น้อยที่สุด เพื่อให้เรายังสามารถเห็นรูปทรงนั้น แล้วเชื่อมโยงกับเรื่องที่เราต้องการเล่าได้”
The Line That Binds Parallels
เพื่อให้เห็นภาพแนวคิดของแบรนด์ชัดขึ้น ขนุนเล่าถึงเบื้องหลังการออกแบบคอลเลกชั่นแรกภายใต้ชื่อ Qidi ซึ่งมีที่มาจากชื่อหมอนขิด (Khit) ซึ่งหลายบ้านมักคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
จากโจทย์ที่อยากคงรากวัฒนธรรมเดิมไว้ ขนุนอธิบายว่า เขาไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงฟอร์มของหมอนขิดหรือที่นั่งเบาะพับแต่อย่างใด แต่ต้องการสร้างโครงโลหะที่สามารถรองรับและโอบอุ้มรูปทรงเดิมที่มีอยู่แล้วให้สามารถใช้งานในแบบใหม่ที่ร่วมสมัยขึ้น
“เราไม่อยากไปแก้ฟอร์มของหมอนขิดกับที่นอนเบาะพับ แค่ออกแบบโครงเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับสองสิ่งนั้นไว้ ทำโครงที่เอาหมอนสอดเข้าไปเพื่อให้รับกับที่นั่งพอดีได้ ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นสององค์ประกอบที่สื่อสารกันโดยตรง หมอนขิดคือวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมเลยที่เราไม่ไปแก้มัน แล้วเราก็แค่ทำเส้นโลหะที่เชื่อมสองสิ่งนี้ไว้”
การออกแบบของ Qidi Collection ไม่ได้คิดแค่เพียงภาพสุดท้ายที่ออกมาดูดีเท่านั้น แต่ยังคิดไปถึงการผลิตจริงในโรงงาน ขนุนอธิบายว่ามีการวางแผนเชิงเทคนิคตั้งแต่ต้นเพื่อลดต้นทุนและความซับซ้อนของการผลิตให้น้อยที่สุด
“เราไม่อยากทำให้การผลิตยากมาก พยายามออกแบบให้เอียงเป็นองศาเดียวกัน โรงงานจะได้ตัดแบบรอบเดียวได้ ใช้มุมเดียวกันในการตัดได้กับหลายจุด ซึ่งหลักการเรื่อง geometry จะเอาไปใช้ในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ด้วย”
เก้าอี้แต่ละประเภทจึงออกแบบฟอร์มให้สอดคล้องกับฟังก์ชั่นการใช้งาน พร้อมทั้งบาลานซ์ความรู้สึกสวยงามและสบายเมื่อนั่งจริง
“อย่าง lounge chair มีองศาการเอียงที่สบายคือประมาณ 115-120 องศา เพราะฉะนั้นก็จะออกมาเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าได้ แต่พอเราทำ dining chair มันต้องชันขึ้นไปอีกเพื่อนั่งกินข้าว ก็เลยเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่เท่ากัน 2 ด้าน อีกด้านหนึ่งจะเอียงไม่เท่ากันเพื่อให้มันชันขึ้น แต่เราก็มีวิธีการหลอกสายตาให้ดูใกล้เคียงกับสามเหลี่ยมด้านเท่าให้มากที่สุด” ขนุนอธิบายถึงการออกแบบงานดีไซน์ให้ออกมาสวย
กานต์เสริมถึงการพัฒนาสินค้าจากฟีดแบ็กของลูกค้าว่า ตอนแรกทั้งคู่เริ่มออกแบบสินค้าจากเก้าอี้ขนาดใหญ่เป็นอย่างแรก แล้วค่อยออกแบบเก้าอี้ขนาดเล็กลงตามมาจากผลตอบรับจากลูกค้าจริง
“เฟสแรกพวกเราทำ lounge chair อะลูมิเนียมไซส์ใหญ่ เพื่อให้นั่ง lay down สบาย แต่พอเราผลิตล็อตแรกไปแล้วก็ได้รับฟีดแบ็กมาว่ามันจะเอาไปฟิตกับพื้นที่ได้ยากนิดหนึ่ง เราก็เลยพัฒนาต่อให้กลายเป็นตัว dining chair ที่ไซซ์ไม่ใหญ่เว่อร์จนเกินไป”
dining chair เวอร์ชั่นใหม่จึงมีการปรับหลายจุดเพื่อตอบโจทย์ฟังก์ชั่นและการใช้งานในพื้นที่จำกัด ทั้งลดน้ำหนัก ลดขนาด และเปลี่ยนวัสดุจากเหล็กเป็นอะลูมิเนียม เรียกได้ว่ามีความบางลงและราคาเข้าถึงง่ายขึ้น
นอกจากเก้าอี้ที่มีให้เลือกหลายฟังก์ชั่นแล้ว Qidi Collection ยังออกแบบให้ใช้เข้าคู่กับโต๊ะอย่างลงตัว ในแง่ของการใช้สี ทั้งคู่เลือกใช้ส้มเป็นสีหลักของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำที่ชัดเจน ซึ่งพิจารณาจากทั้งด้านจิตวิทยาและมู้ดแอนด์โทนของสถานที่จริงเวลาตั้งสินค้า
“สีหลักที่เราจะเอามาใช้ต้องเป็นสีที่เป็นพระเอกได้ แมตช์กับสถานที่ได้ง่าย ตอนเด็กๆ เราจะรู้สึกว่าสีแดงเป็นสีพระเอกจากการ์ตูนที่ดู อย่างมาสก์ไรเดอร์และพาวเวอร์เรนเจอร์ แต่มันเป็นสีที่จริงจังเกินไป ตั้งแต่เริ่ม เราก็จินตนาการกันว่าเวลาไปถ่ายรูปเฟอร์นิเจอร์กับสถานที่ต่างๆ น่าจะต้องมีสีเขียวเป็นหลักอยู่แล้วในฉาก ถ้าเป็นเก้าอี้เอาต์ดอร์สีส้มเจอกับสีเขียวน่าจะป๊อป” ขนุนเล่า
สีส้มจึงกลายเป็นโทนหลักที่โดดเด่นพอให้น่าจดจำได้ แต่ไม่แย่งซีนเกินไปจากพื้นที่รอบข้าง
Price
Price in the Middle Lane
จากประสบการณ์ตรงของทั้งคู่ในการทำงานออกแบบภายในก่อนลุกขึ้นมาทำแบรนด์ของตัวเอง ขนุนบอกว่าการเห็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์มามากทำให้เห็นโอกาสทำธุรกิจจากช่องว่างของตลาด
“เวลาทำงานออกแบบภายใน เราจะเป็นคนเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้าด้วย เราจะเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ในตลาดมีแบบไหนบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ต่างชาติ และแบรนด์จีนที่ก๊อปต่างชาติซึ่งเป็นอีกเทียร์หนึ่ง แล้วก็จะมีแบรนด์ไทยอีกกลุ่มหนึ่ง มองว่าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทยสไตล์แบบนี้ยังไม่มีในตลาด เลยรู้สึกว่าน่าลองทำดู”
แบรนด์ Qanarn จึงวางโพซิชั่นให้อยู่กึ่งกลางระหว่างแบรนด์ยุโรปและแบรนด์จีน ซึ่งส่งผลต่อหลักคิดในการตั้งราคาของแบรนด์ที่มีช่วงราคาตั้งแต่หลักหลายพันปลายๆ จนถึงหลักหมื่น
“เราจะตั้งราคาสินค้าตัวเองให้สูงกว่าแบรนด์จีนแต่ยังต่ำกว่าแบรนด์ยุโรป เช่น ถ้าสินค้าประเภทนี้ของแบรนด์จีนราคา 8,000 บาท ส่วนสินค้าประเภทเดียวกันของแบรนด์ยุโรปราคา 18,000 บาท สินค้าของเราก็อาจจะมีราคาอยู่ที่ 12,000 บาท”
ช่วงเริ่มต้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์เน้นไปที่โครงการขนาดกลาง เช่น โรงแรมหรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์จัดจ้าน มีเอกลักษณ์และใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตาม ขนุนยอมรับว่า การเริ่มต้นด้วยสินค้าขนาดใหญ่อย่างเฟอร์นิเจอร์ทำให้กลุ่มลูกค้าทั่วไปอาจเข้าถึงได้ยากอยู่บ้าง โดยเฉพาะสำหรับคนที่อยากอุดหนุนหรืออยากลองใช้งานชิ้นแรกจากแบรนด์
“ต้องยอมรับว่ามันเข้าถึงยากนิดๆ เพราะว่าสินค้าชิ้นหนึ่งก็มีราคาสูง มันไม่ใช่ชิ้นเล็กๆ ในราคา 1,000–2,000 บาทที่เพื่อนจะอุดหนุนได้ง่าย ต่อไปเลยอยากออกสินค้าหมวดของแต่งบ้าน เช่น แจกัน หรือ art piece สำหรับวางบนโต๊ะกินข้าวหรือในครัว accessories ต่างๆ ที่คงคอนเซ็ปต์เดิม”
จากออกแบบเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่สู่ home décor ชิ้นเล็ก นี่คือทิศทางการออกแบบก้าวต่อไปของแบรนด์ Qanarn ที่ไม่ได้อยากเป็นแค่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ แต่อยากเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงง่าย
เมื่อถามถึงความท้าทายในการทำแบรนด์ทั้งในมุมการออกแบบและการทำธุรกิจ ขนุนตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ความยากที่แท้จริงไม่ใช่การทำงานร่วมกันระหว่างทีมผู้ร่วมก่อตั้งสองคน แต่เป็นการควบคุมการผลิต
“สมมุติเราอยากได้ดีไซน์แบบนี้แต่เราต้องการคุมต้นทุนเท่านี้ ก็ต้องคิดว่าเราจะมาพัฒนายังไงต่อ การที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานเองนี่แหละที่ผมว่าเป็นสิ่งที่ยากในพาร์ตการออกแบบที่สุด ถ้าเทียบกับเรื่องการทะเลาะกันระหว่างเราสองคนนี่มันเป็นเรื่องเล็กไปเลย”
Place & Promotion
In Rhythm with the Space
ความสนุกหลังจากออกคอลเลกชั่นแรกๆ ของ Qanarn ที่มีทั้งอาร์มแชร์ โซฟา side table และ coffee table ฯลฯ คือการเห็นเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ไปจัดวางหรือดิสเพลย์ที่คอมมูนิตี้สเปซต่างๆ ในบรรยากาศที่ต่างกัน เช่นที่ Velaa Sindhorn Village Langsuan ณ ใจกลางเมืองซึ่งเน้นบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่น ก็เลือกใช้เก้าอี้และโต๊ะสี Polar White เพื่อช่วยเสริมความสงบของพื้นที่โดยไม่แย่งซีนธรรมชาติรอบข้าง
ในขณะที่ Gump’s Ari ซึ่งรวมคอนเซปต์สโตร์ ร้านอาหาร และร้านขนมสำหรับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่เด็กลงมา ได้เลือกตั้งเฟอร์นิเจอร์สี Lemon Yellow, Silver Olive และ Polar White คละกัน เพื่อสร้างความสดใสให้พื้นที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
ส่วนที่ โรงแรม Miami โรงแรมบูติกที่เจ้าของโรงแรมเป็นผู้คัดเลือกเฟอร์นิเจอร์เอง ได้เลือกใช้ Poolside Table สี Sun Pop ตั้งริมสระว่ายน้ำเพื่อเติมบรรยากาศให้เหมาะกับช่วงซัมเมอร์
ขนุนอธิบายการเลือกจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามสเปซต่างๆ ว่า
“ด้วยการออกแบบที่ใช้วัสดุเดียวทั้งตัวเป็นโลหะ ทำให้เฟอร์นิเจอร์เราเข้ากับสเปซต่างๆ ได้ง่าย แต่ละสถานที่ที่เราเลือกวางมี mood, feeling และกลุ่มผู้คนที่ไปไม่เหมือนกันเลย เพื่อให้เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวกันสามารถแมตช์กับหลายที่ได้”
แม้จะเป็นนักออกแบบภายใน แต่แบรนด์ Qanarn เลือกเริ่มต้นจากการทำเฟอร์นิเจอร์ outdoor ซึ่งดูเหมือนสวนทางกับความคาดหวังทั่วไปที่ว่าหากถนัดงานอินทีเรียก็ควรเริ่มจากสินค้า indoor
“ความจริงถ้าทำเฟอร์นิเจอร์ควรเริ่มจาก indoor แต่ก่อนหน้านี้ผมทำงานในออฟฟิศเกี่ยวกับรีเทล พบว่าส่วนใหญ่เฟอร์นิเจอร์ในห้างหรือในส่วนกลางห้าง ถ้าไม่ได้ต้องนั่งนานมาก ตอนนี้หลายที่เริ่มใช้เฟอร์นิเจอร์ outdoor ในห้างแทนแล้ว เพราะมันดูแลง่าย ลูกค้าทำอะไรหกก็ไม่ค่อยเป็นไร เพราะฉะนั้นการทำเฟอร์นิเจอร์ outdoor ของผมก็ไม่ได้จะใช้เพื่อ outdoor แบบ 100%”
เฟอร์นิเจอร์ outdoor ของ Qanarn จึงไม่จำกัดอยู่แค่พื้นที่กลางแจ้ง แต่สามารถนำมาใช้ใน indoor ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่เน้นการนั่งระยะยาว เช่น โซนพักคอย พื้นที่โชว์สินค้า หรือโถงต้อนรับ
กลยุทธ์การขยายตลาดของแบรนด์ยังครอบคลุมทั้งการเจาะกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเจ้าของบ้านที่กำลังแต่งสวน ร้านอาหาร หรือโรงแรม โดยมีการจัด Mini Exhibition ที่ ODS Store ใน Siam Discovery เพื่อให้ลูกค้าเห็นของจริงและซื้อได้ทันที
ขนุนยังเล่าว่าแบรนด์กำลังมองหาพื้นที่โชว์เคสเพิ่มเติมเพื่อให้เฟอร์นิเจอร์ของ Qanarn ไปปรากฏในหลากหลายบริบทและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่มากขึ้น
“นักออกแบบเป็นกลุ่มลูกค้าถัดไปที่เรากำลังจะเข้าหา เราอยากนำเสนอแบรนด์ของเราให้บริษัทออกแบบต่างๆ รู้จักไว้เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ เพราะตอนทำงานเป็นนักออกแบบภายในก็จะมีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์เข้ามาหาที่ออฟฟิศอยู่แล้ว เราก็ใช้วิธีการเดียวกัน”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ก่อนจะเริ่มโฟกัสการตลาดออนไลน์ ทีมตั้งใจสร้างพอร์ตฟอลิโอให้แน่นด้วยการวางสินค้าจริงในสถานที่จริงก่อน เพราะเชื่อว่าการเห็นเฟอร์นิเจอร์ในบริบทจริงมีอิมแพกต์มากกว่าภาพถ่าย
“เราเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ตามสถานที่ต่างๆ ก่อน เพราะเชื่อว่าเฟอร์นิเจอร์ไม่เหมือนของชิ้นเล็กอื่นๆ ที่ลูกค้าเห็นแต่ในออนไลน์หรือเห็นภาพแล้วซื้อได้เลย อยากให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างว่าพอตั้งอยู่ในสเปซต่างๆ แล้วเป็นยังไง เราเลยเลือกสถานที่หลากหลายที่มีความคอนทราสต์กันแต่ยังเสริมกันได้”
สำหรับ Qanarn การออกแบบเฟอร์นิเจอร์จึงไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ชิ้นงาน แต่คือการสร้างบทสนทนา ระหว่างวัฒนธรรม รูปทรง และไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ ที่ไม่จำกัดอยู่แค่ indoor หรือ outdoor แต่สามารถอยู่ร่วมกับพื้นที่ได้แบบยืดหยุ่น
Parallel
แม้จะร่วมก่อตั้งแบรนด์ด้วยกัน แต่ขนุนและกานต์ต่างมีความชอบและสไตล์การออกแบบที่แตกต่าง กันพอสมควร ฝั่งขนุน ชื่นชอบดีไซน์ที่เรียบ นิ่ง และมินิมอลแบบญี่ปุ่น ส่วนกานต์ชอบความสนุกของรูปทรงเรขาคณิตที่โดดเด่น และมีฟอร์มชัดเจนในงานออกแบบ
แทนที่จะปล่อยให้ความต่างกลายเป็นข้อขัดแย้ง ทั้งคู่กลับเลือกใช้ความต่างนั้นเป็น ‘เส้นขนาน’ ที่สามารถเดินไปด้วยกันได้ภายใต้แนวคิดร่วมอย่าง Parallel Design การหาความสมดุลระหว่างความเรียบง่ายและความขี้เล่น โดยใช้วัสดุที่ดูนิ่ง เช่น อะลูมิเนียม มาผสานกับฟอร์มเรขาคณิตเฉียบคม เพื่อให้เกิดความรู้สึกใหม่ในพื้นที่ โดยไม่หลุดจากคอนเซปต์หลักของแบรนด์ที่ทั้งสองยึดถือ
ขนุนเล่าว่า “สิ่งแรกผมกับกานต์ทำร่วมกันคือ หาจุดกึ่งกลางระหว่างเรา 2 คน ถ้าทำตามสิ่งที่ผมชอบทั้งหมดก็เหมือนกับทำตามใจตัวเองจนเกินไป หรือถ้าคนใดคนหนึ่งทำในสไตล์ของตัวเอง ก็จะเหมือนกับทำแค่สิ่งที่ตัวเองชอบ เราก็เลยลองมาหาจุดกึ่งกลางกัน"
การหาสไตล์ที่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างทั้งคู่ทำให้เกิดแนวทางการออกแบบที่ไม่ใช่แค่ฟิวชั่นทางรสนิยมแต่กลายเป็น conceptual design ที่มีแกนร่วมคือ Cultural Geometry ซึ่งหยิบวัฒนธรรมไทยมาเล่าใหม่ด้วยฟอร์มเรขาคณิตในภาษาที่ร่วมสมัย
ทั้งคู่มองว่า เฟอร์นิเจอร์ของ Qanarn สามารถสะท้อนหลักคิดเรื่อง ‘เส้นขนาน’ ที่อยู่ในทุกมิติของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
ขนานระหว่างความเรียบง่ายกับความสนุกขี้เล่น
ขนานระหว่างความเป็นไทยกับความโมเดิร์น
ขนานระหว่างนักออกแบบสองคนที่มีสไตล์ต่างกันสุดขั้ว แต่เข้าใจและเคารพกันอย่างลึกซึ้ง
และแม้ในทางคณิตศาสตร์ เส้นขนานจะไม่มีวันบรรจบกัน แต่สำหรับแบรนด์ Qanarn เส้นขนานคือสองเส้นที่เลือกเดินเคียงกันไปอย่างมั่นคงด้วยจังหวะเดียวกัน
ขอขอบคุณสถานที่จาก Velaa Sindhorn Village Langsuan
และรูปเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Qanarn