โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เปิดด่าน vs. ปิดด่าน: เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่อง ‘ชายแดน’

THE STANDARD

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
เปิดด่าน vs. ปิดด่าน: เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่อง ‘ชายแดน’

การสร้างรัฐและความรู้สึกในเรื่องของอาณาเขตเป็นสิ่งที่เกิดควบคู่กัน แม้ว่าอัตลักษณ์ทางการเมือง [ของรัฐ] จะไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกันกับเส้นพรมแดนของรัฐอธิปไตยสมัยใหม่ก็ตาม

Malcolm Anderson

Frontier (1996)

สถาปนิกของเส้นเขตแดนและกำแพงที่สร้างขึ้นทั้งหมดล้วนต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิด [ชายแดนของ] ชุมชนหรือดินแดนหนึ่ง [ที่เชื่อมต่อกับ] อีกชุมชนหรือดินแดนหนึ่ง [ที่อยู่ติดกัน] ให้ได้อย่างสมบูรณ์

Paul Richardson

Myths of Geography (2024)

เปิดประเด็น

บทความนี้อยากทดลองนำเสนอมุมมองการปิด-เปิดด่านด้านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในมิติทาง ‘เศรษฐศาสตร์การเมืองของชายแดน’ (The Political Economy of Border) เพราะความเป็นชายแดนนั้น ทำให้พื้นที่ในส่วนนี้น่าสนใจ ที่จะต้องพิจารณาด้วยมุมมองทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดได้กระจ่างขึ้น

อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะไม่เน้นในมุมมองด้านความมั่นคง เพราะปกติแล้ว เมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดจากการกระทบกระทั่งในบริเวณพื้นที่ชายแดนนั้น เรามักจะเริ่มด้วยมิติด้านความมั่นคงเสมอ แต่บทความนี้ จะลองปรับมุมมองที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยจะไม่เน้นในมุมมองที่สมาทานไปกับกระแสของ ‘ลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง’ ที่เชื่อว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับรัฐเพื่อนบ้านนั้น จะต้องจบลงในสนามรบ เพราะแนวคิดเช่นนั้น อาจจะทำให้ข้อพิพาทดังกล่าวไปจบลงที่ศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึง เช่นที่ไทยเคยมีประสบการณ์ล่าสุดมาแล้วในปี 2011 (พ.ศ. 2554) กับกรณีปราสาทพระวิหาร

กล่าวนำ

วันนี้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญกับปัญหารุมเร้าแบบรอบด้านอย่างคาดไม่ถึง และหนึ่งในความคาดไม่ถึงคือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา…ใครเลยจะคาดคิดว่า ปัญหานี้จะขยายตัวเป็นหนึ่งใน ‘ประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ’ ที่สำคัญ ทั้งยังเป็นปัญหาส่งผลต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างมากด้วย

ในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหากรณีช่องบก ที่เริ่มส่งสัญญาณถึงการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศคู่พิพาท แล้วตามมาด้วยกรณีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสอง และคู่ขนานต่อมาด้วยการก่อตัวของกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ จนทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลอย่างมากว่า ความตึงเครียดที่เกิดและผสมผสานด้วยการขับเคลื่อนของกระแสชาตินิยมนั้น จะนำพาประเทศทั้ง 2 ไปพบกันที่สนามรบหรือไม่…หรือเพื่อนบ้านทั้ง 2 ประเทศจะแสวงหาทางออกร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือ ได้หรือไม่ ?

วิกฤตการเมืองเรื่องชายแดน

อย่างไรก็ตาม การผสมผสานของปัจจัยต่างๆ ดังเช่นที่กล่าวแล้ว ส่งผลให้ความตึงเครียดที่เกิดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้มากขึ้น และทั้งจะเห็นได้ว่า ผลกระทบของปัญหานี้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถ ‘เขย่ารัฐบาลไทย’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องยอมรับว่า รัฐบาลแพทองธารกำลังเผชิญกับ ‘วิกฤตการเมือง’ ที่สำคัญ ทั้งยังท้าทายอย่างมากถึงความอยู่รอดของรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย

วันนี้ เราคงต้องยอมรับความจริงในทางการเมืองว่า ปัญหากัมพูชาได้กลายเป็น ‘วิกฤตการเมืองภายใน’ ของไทยอย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะปัญหานี้เป็นชนวนที่ก่อความรู้สึกไม่พอใจกับท่าทีและการแสดงออกของรัฐบาลอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับปัญหาคลิปเสียงการสนทนาของผู้นำ 2 ฝ่ายแล้ว ก็ยิ่งให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

ในสภาวะที่เกิดปัญหาตามแนวชายแดนเช่นนี้ มักจะมีข้อเสนอที่เกิดขึ้นเป็นประจำในสังคมคือ การเรียกร้องให้มีการ ‘ปิดด่าน’ ที่เป็นจุดผ่านแดนของประเทศ โดยหวังว่า การปิดด่านของไทยจะทำให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชา และในที่สุดแล้วผลจากการปิดด่าน จะทำให้กัมพูชาจะต้องยอมเรา ด้วยการหันกลับมาเจรจาแบบทวิภาคีกับไทย เพราะกัมพูชาจะไม่สามารถทานแรงกดดันจากการปิดด่านได้ กล่าวคือ เราเชื่อว่า เรามี ‘แต้มต่อ’ ในทางเศรษฐกิจเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมาก

ดูเหมือนว่า ฝ่ายไทยจะยึดเอาความเชื่อเช่นนี้ เป็นสมมติฐานในการมีทัศนคติต่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชามาอย่างยาวนาน และทั้งความคาดหวังแบบชาตินิยมที่เชื่อว่า ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไทยจะต้องเป็นฝ่ายชนะกัมพูชาเสมอ’

นอกจากนี้ ข้อเสนอในการปิดด่านดูจะสอดรับกับกระแสชาตินิยมได้เป็นอย่างดี ที่ต้องการใช้การปิดด่านเป็นเสมือน ‘การลงโทษ’ ฝ่ายกัมพูชา เพราะเชื่อแบบง่ายๆ ว่า ฝ่ายไทยมีความเหนือกว่ากัมพูชาในทุกด้าน อันจะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะเอื้อให้เราจะเป็นฝ่ายชนะในท้ายที่สุด…เสมือนจินตนาการในแบบภาพยนตร์ไทยสมัยก่อน ที่พระเอกต้องชนะในตอนสุดท้ายเสมอ

ปิดด่านในมุมมองทางทฤษฎี

หากพิจารณาในมุมมองทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ เราอาจกล่าวได้ว่า การปิดด่านคือ การใช้ ‘มาตรการทางเศรษฐกิจ’ ในนโยบายต่างประเทศ และเมื่อใช้แล้วก็หวังว่า รัฐเป้าหมายที่ถูกกระทำ จะยอมทำตามสิ่งที่ฝ่ายเราต้องการ

ความหวังเช่นนี้จึงเป็นทฤษฎีที่นักเรียนในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกสอนเสมอว่า เมื่อรัฐใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันรัฐเป้าหมาย และการกดดันนี้จะได้ผลจริง ก็ต่อเมื่อรัฐเป้าหมายไม่สามารถหาสิ่งของทดแทนที่เกิดจากความขาดแคลนดังกล่าวนั้นได้

ดังนั้น จึงอาจกล่าวเป็นข้อสรุปทางทฤษฎีได้ว่า จุดชี้ขาดที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจคือ ‘ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้’ แต่ในโลกสมัยใหม่ สภาวะที่จะเกิดความขาดแคลนที่ไม่สามารถทดแทนได้นั้น อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้การขนส่งสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ เป็นไปได้อย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน รัฐสมัยใหม่เองก็ไม่ได้อยู่ด้วยความขาดแคลนเช่นในยุคเก่า

สภาวะเช่นนี้จึงทำให้ทฤษฎีการกดดันด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน ‘อาจจะไม่ได้ผลจริงตามที่คาดหวัง’ เพราะโลกทางเศรษฐกิจของยุคศตวรรษที่ 21 นั้น การกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความขาดแคลนภายในของรัฐเป้าหมายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเป็นจริงเสมอไป เพราะโลกในทางเศรษฐศาสตร์ของระบบทุนนิยมระหว่างประเทศนั้น ไม่ใช่โลกของความขาดแคลนด้านสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ ในทางตรงข้าม สิ่งเหล่านี้ล้วนมีตัวแสดงที่พร้อมจะเข้ามาเป็น ‘รัฐผู้ขาย’ ในฐานะของการแสวงหาตลาดอยู่เสมอ

ข้อโต้แย้งในทางปฏิบัติ

บางที อาจจะต้องกล่าวเป็นข้อพิจารณา สำหรับความเชื่อที่ว่า การปิดด่านเพื่อหวังให้เกิดความขาดแคลนภายในของรัฐเป้าหมายในสถานการณ์ที่เกิดข้อพิพาทนั้น อาจจะนำมาเป็นประเด็นทบทวนทั้งในทางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี

ตัวอย่างที่ชัดเจนในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่เรื่องการปิดด่านโดยตรง คือ มาตรการ ‘แซงก์ชัน’ (Sanction) ทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย อันเป็นผลจากสงครามยูเครนในต้นปี 2022 นั้น ต้องยอมรับว่าการแซงก์ชันนั้น ไม่ได้ส่งผลในการกดดันรัสเซียให้ต้องยุติสงครามได้จริง แม้การออกมาตรการดังกล่าว จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มากจนนำไปสู่ความล้มละลายทางเศรษฐกิจของประเทศ จนรัสเซียต้องยอมถอนกำลังรบออกจากยูเครน

วันนี้ ตอบได้ชัดเจนในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศว่า การแซงก์ชันในความหมายของการปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียนั้น ไม่ได้ประสบผลมากในระดับทางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้รัสเซียเป็นฝ่ายที่ต้องยอมแพ้ในสงครามยูเครนแต่อย่างใด

สงครามยูเครนยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน และดำเนินต่อเนื่องมาจนเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว อันส่งผลให้กลุ่ม NATO ในปัจจุบันต้องประเมินใหม่ว่า รัสเซียโดยสถานะทางเศรษฐกิจของตัวเองดังเช่นในปัจจุบันนั้น ยังสามารถทำการรบต่อไปได้อีกราว 2 ปี ซึ่งมีนัยทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติว่า การปิดล้อมทางเศรษฐกิจของฝ่ายตะวันตกนั้น ไม่สร้างผลกระทบในทางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้รัสเซียยอมถอนตัวออกจากสนามรบในยูเครนแต่อย่างใด…ตรงกันข้าม สงครามยูเครนในปัจจุบัน ยังทวีความรุนแรงจากการโจมตีของกองทัพรัสเซียอย่างต่อเนื่อง

กรณีอีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจจะใกล้ตัวพวกเรามากขึ้นคือ ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ในยุคสงครามเย็น ในสมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัชต์ในช่วงวิกฤตการณ์ใน สปป.ลาว จอมพลสฤษฏ์มักจะใช้การปิดด่านของไทยเป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะเนื่องจาก สปป.ลาว เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล และต้องขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย

รัฐบาลไทยในขณะนั้น เชื่ออย่างมากว่า การกดดันด้วยมาตรการปิดด่าน จะทำให้สปป.ลาวต้องหันกลับมาประนีประนอมกับไทย เพราะการไม่มีทางออกทะเล แต่ฝ่ายไทยดูจะลืมเงื่อนไขการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญคือ แม้ สปป.ลาว ไม่สามารถออกทะเลได้จริง แต่ สปป.ลาว สามารถขนส่งสินค้านำเข้า ได้ทั้งจากไทยและเวียดนาม ดังนั้น เมื่อไทยออกแรงกดดันมาก สปป.ลาว จึงหันไปพึ่งการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือไฮฟองของเวียดนาม แทนการพึ่งอยู่กับการใช้ท่าเรือคลองเตยของไทยแต่เพียงอย่างเดียว

นัยเชิงนโยบายของการปิดด่าน

นโยบายปิดด่านของจอมพลสฤษฏ์เท่ากับเป็นคำตอบในตัวเองว่า การปิดด่านอาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นมากกว่า และแน่นอนว่า การกระทำเช่นนี้เป็น ‘ข่าวใหญ่’ ในตัวเอง เพราะการปิดด่านไม่ใช่เพียงสัญญาณของการตัดขาดทางเศรษฐกิจออกจากกันเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณถึง ‘การยกระดับ’ (Escalation) ของปัญหาในตัวเองอย่างชัดเจนด้วย

ผลที่เกิดขึ้นเห็นชัดในอีกส่วนคือ ความคาดหวังว่าการปิดด่านจะเป็นแรงกดดันให้ผู้นำรัฐบาล สปป.ลาว ต้องตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในขณะนั้น ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติจริงแต่อย่างใด เพราะ สปป.ลาวสามารถหันไปพึ่งพาการขนส่งสินค้าจากทางฝ่ายเวียดนามเหนือแทนได้เป็นอย่างดี และทำให้ สปป.ลาวในช่วงเวลาดังกล่าว ดูจะหันไปมีความใกล้ชิดกับเวียดนามเหนือมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายผลประโยชน์แห่งชาติของไทยในระยะยาว

เราอาจต้องตระหนักว่า นโยบายต่างประเทศของไทยกับเพื่อนบ้านในเชิงอุดมคตินั้น ไทยควรมีความสัมพันธ์ที่ดี (และเป็นปกติ) กับประเทศเพื่อนบ้าน และความสัมพันธ์นี้จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอยู่กับเราในฐานะ ‘คนใกล้ชิดข้างบ้าน’ ไม่ใช่เป็น ‘ศัตรูข้างบ้าน’ ที่พร้อมจะทำลายผลประโยชน์ด้วยการมีปัญหา และข้อพิพาทกันไม่รู้จบ เพราะต้องตระหนักในทฤษฎีทาง ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ว่า ด้วยความเป็นรัฐเพื่อนบ้านนั้น ไม่มีใครย้ายหนีจากใครได้…เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ว่า ไม่มีใครทะเลาะกับเพื่อนบ้านที่เป็น ‘คนบ้านใกล้เรือนเคียง’ แล้ว จะมีความสุข

แม้จะต้องเจอกับ ‘เพื่อนบ้านเกเร’ ก็จะต้องหาทางที่อยู่กับภาวะเช่นนั้นให้ได้ เพราะความเป็นจริงในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โหดร้ายคือ ถึงเพื่อนบ้านจะเกเรอย่างไร เราก็จะต้องอยู่กับเขา เพราะปัญหาที่ย้ายหนีจากกันไม่ได้ของความเป็น ‘รัฐอาณาเขต’

ยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีนัยว่า เพื่อนบ้านจะต้อง ‘เป็นเพื่อน-เป็นตลาด-เป็นเส้นทางเชื่อมต่อ’ ให้กับเรา และหากเกิดข้อพิพาท ก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้เกิด ‘การยกระดับ’ ของปัญหา จนสุดท้ายเหมือนในชีวิตจริงคือ ต้องเดินทางไปศาล เพราะต้องตระหนักว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) โหดร้ายกว่าศาลภายใน เพราะคำตัดสินที่เกิดตามมาจากความขัดแย้งนั้น มีนัยโดยตรงถึงสถานะของดินแดนของรัฐคือ การได้/การเสียดินแดน ไม่ใช่เรื่องของที่ดินในบริบทของกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

ปิดด่านในโลกเศรษฐกิจการเมืองโลกปัจจุบัน

ในบริบทของสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอาจไม่แตกต่างกันมากนัก เราคาดหวังบนสมมุติฐานว่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจด้วยการปิดด่านจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย เพราะเรามีความเหนือกว่า และกัมพูชาต้องพึ่งพาไทยในทางเศรษฐกิจ แต่สมมุติฐานเช่นนี้ เป็นความท้าทายอย่างมากว่า จะเป็นจริงเพียงใด?

สิ่งที่ฝ่ายไทยอาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงโดยพื้นฐานคือ รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และยังสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตามปกติ หรือกัมพูชาไม่ได้อยู่ในสถานะของการไม่มีรัฐคู่ค้าเหลืออยู่ อีกทั้งกัมพูชาเป็นประเทศที่มีทางออกทะเล อันทำให้การปิดด่าน จะนำมาซึ่งความขาดแคลนภายในประเทศอย่างมาก จนทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมปรับท่าทีใหม่ตามความต้องการของไทยนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ไม่ชัดเจนว่าความคาดหวังนี้จะเป็นจริงเพียงใด

อีกทั้ง ต้องยอมรับอีกว่า กัมพูชาวันนี้ ไม่ใช่กัมพูชาในอดีตที่อ่อนแอมาก จนไทยสามารถเอาชนะด้วยการกดดันในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องถึงระดับของการใช้กำลังทหาร ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม เราอาจต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าความสำเร็จถ้าจะเกิดขึ้นได้จริงนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามทฤษฎีของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ การกดดันของฝ่ายไทย จะต้องก่อให้เกิดสภาวะของ ‘ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้’ จนกัมพูชาต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายไทย เช่น เราเชื่อว่า หากไทยปิดด่านและห้ามการขนส่งน้ำมันข้ามแดนแล้ว กัมพูชาอาจจะเผชิญกับความขาดแคลนน้ำมัน จนกลายเป็น ‘วิกฤตพลังงาน’ ซึ่งอาจจะไม่เป็นจริง เพราะกัมพูชาไม่ได้พึ่งน้ำมันจากไทยประเทศเดียว จะส่งผลก็อาจกระทบกับปัญหาความขาดแคลนพลังงานในพื้นที่ชายแดนบางส่วน

ขณะเดียวกัน ก็มีประเทศที่อยากเข้าไปมีส่วนแบ่งการตลาดในการส่งน้ำมันขายให้แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบบทุนนิยม แม้เราจะเชื่อเพียงว่า คู่แข่งไทยทำไม่ได้อย่างเรา เพราะปัญหาระยะทางทางภูมิศาสตร์ที่ไกลจากกัมพูชา จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นในการขนส่ง และไทยมีความใกล้ของระยะทางเป็นข้อได้เปรียบที่คู่แข่งอื่นๆ ไม่มี แต่ในทางการเมือง คนกัมพูชาอาจจะพร้อมจ่ายค่าพลังงานมากขึ้น เพราะอิทธิพลของกระแสต่อต้านไทยในประเทศของเขา…ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งเราก็เคยสร้างกระแส ‘ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น’ มาแล้วในสังคมไทย

อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมอีกประการว่า การปิดด่านในยุคปัจจุบันมี ‘ผลกระทบด้านกลับ’ ที่ทำให้การขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยไปยังตลาดกัมพูชาต้องยุติไปด้วย ซึ่งอาจถูกเรียกร้องว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำในแบบของกระแสชาตินิยม แต่ผลในความเป็นจริง การปิดชายแดน ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ชายแดนยุติลง และทั้งส่งผลให้ชีวิตชายแดนจะหยุดตามไปด้วย หรือเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า ‘ชายแดนรบ-ชายแดนตาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย’ ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจและภาคสังคมชายแดนไม่ตอบรับกับกระแสชาตินิยมในทิศทางเช่นนั้น และอยากเห็นสภาวะ ‘ชายแดนสงบ-ชายแดนค้าขาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย’

ในทางกลับกัน สิ่งที่ต้องระมัดระวังในมุมกลับคือ การปิดด่านอาจจะส่งผลต่อการขนส่งสินค้าของไทย เช่น ในกรณีของการส่งผลไม้ข้ามแดน เพราะผลไม้เป็นผลผลิตที่มีอายุสั้น หรือการสั่งซื้อสินค้าข้ามแดน ก็หยุดชะงักไปด้วย อันส่งผลให้การค้าชายแดนเกิดภาวะชะงักงันไปโดยปริยาย ประเด็นสำคัญอีกประการที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมากก็คือ ปัญหาแรงงานชาวกัมพูชาที่เกิดความหวาดกลัว และตัดสินใจกลับบ้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจไทย

ข้อขัดข้องในอนาคต

การปิดด่าน ปิดชายแดนอาจจะส่งผลกระทบกับกัมพูชาในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ประเทศเป้าหมายจะต้องปรับตัวหาแหล่งสนับสนุนทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยากในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน และอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยอาจจะถูกกดดันให้ต้องลดอิทธิพลในกัมพูชาลง

สภาวะเช่นนี้จะยิ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ในอนาคต จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น และอยู่ด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น ซึ่งไม่น่าใช่ผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว ทั้งต้องตระหนักเสมอว่า การปิดด่านเป็น ‘ดาบสองคม’ แต่ต้องระวังคมที่มากกว่าจะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน เพราะอำนาจในเรื่องนี้ เป็นอำนาจของรัฐบาลโดยตรงที่ใช้ผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งไม่น่าจะเป็นอำนาจที่รัฐบาลสามารถโอนให้กับฝ่ายทหารได้โดยพลการ

ในความเป็นจริงดังที่กล่าวแล้วว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะเป็นผู้ประกาศเอง แต่กลับ ‘โยน’ ไปให้ฝ่ายทหารดำเนินการแทน ซึ่งทำให้เกิดการตีความว่า เป็นการแสดงออกของฝ่ายการเมืองในเวทีสาธารณะให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้าน ก็อาจจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสภาวะที่การปิดด่านเป็นการแสดงออกอย่าง ‘ขึงขัง’ เพียงเพื่อสร้างภาพแก้ตัวหลังจากความเพลี่ยงพล้ำของผู้นำรัฐบาลในกรณีคลิปเสียงเท่านั้นเอง

บางทีวันนี้ ผู้มีอำนาจในการเมืองไทยควรต้องหันกลับมาถกแถลงทางยุทธศาสตร์อย่างจริงจังว่า อำนาจการกดดันจากการปิดด่านยังเป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายต่างประเทศไทยเพียงใด และแทนที่จะเน้นการปิดด่านที่เป็นเหมือนแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นข้อเสนอพื้นฐาน เราอาจต้องเน้นมาตรการ ‘การคุมเข้มด่าน’ ที่จะใช้ควบคุมการผ่านแดน โดยเฉพาะเพื่อป้องกันปัญหาการผ่านแดนของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ และยังเน้นการเปิดด่านที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านมนุษยธรรม เช่น การผ่านแดนของผู้ป่วย และบรรดาเด็กนักเรียน เป็นต้น

ท้ายบท

สุดท้ายนี้ ในสถานการณ์ที่เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนนั้น สิ่งที่จะเกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การก่อตัวของกระแสชาตินิยม และว่าที่จริงแล้ว กระแสชาตินิยมเช่นนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย การควบคุมไม่ให้กระแสนี้ ขยายตัวจนกลายเป็นการยกระดับความขัดแย้งเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องระมัดระวัง เพราะกระแสนี้มักเชื่อใน ‘แนวทางของการใช้กำลัง’ ในการแก้ปัญหาข้อพิพาท

ด้วยกระแสชาตินิยมเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่า กำลังรบของฝ่ายตนจะเป็นผู้ชนะในสนามรบ แต่การใช้กำลังไม่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็จะต้องจบลงด้วยการเจรจา หรือหากปัญหาความรุนแรงขยายวงออกไป สิ่งที่จะตามมาคือ การถูกกดดันให้ต้องนำปัญหาการใช้กำลังอาวุธเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ซึ่งก็จะเป็น ‘ความล่อแหลม’ ในทางการเมืองเป็นอย่างยิ่งต่อสถานะด้านดินแดนของไทย และต้องยอมรับว่า การเดินไปในแนวทางเช่นนั้น ไม่น่าจะเป็นผลประโยชน์แห่งชาติของไทยทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

ฉะนั้น ในท้ายที่สุด เราอาจต้องตระหนักว่า สงครามชายแดนอาจจะไม่ให้ผลตอบแทนแก่ไทยเราอย่างที่หวัง แต่อาจกลายเป็นผลลบที่มากกว่า และมักเป็นเช่นนั้นเสมอ!

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

5 เดือน พบธุรกิจปิดกิจการ 4.7 พันราย เตือนครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยเจอมรสุม 5 ปัจจัยเสี่ยง

15 นาทีที่แล้ว

นายกฯ เยี่ยมชมการซ้อมแผนเผชิญเหตุตอบโต้ภัยคุกคาม-การก่อวินาศกรรม ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ฝึกหนัก

29 นาทีที่แล้ว

ทหารพราน 21 ตรวจยึดกัญชาล็อตใหญ่ 620 กระสอบ ซุกสวนทุเรียน-มะพร้าว จ.บึงกาฬ

58 นาทีที่แล้ว

กทม. ตั้งศูนย์สนับสนุนการจ้างงาน เชื่อมเอกชนเข้าถึงแรงงานคนพิการอย่างมีระบบ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องนักเรียนไทย คว้ารางวัลเหรียญทอง จากผลงานวิชาการระดับนานาชาติ ASIACHEM2025

THE STATES TIMES

“เราไม่เคยมองคนไทยเป็นศัตรูเลย” เสียงสะท้อนครอบครัวชาวเขมรในนวนคร จากชีวิตแรงงาน สู่การขับไล่ให้กลับกัมพูชา

The Momentum

โรงไฟฟ้า BLCP ศึกษานวัตกรรมเชื้อเพลิงใช้ แอมโมเนียคาร์บอนต่ำ แห่งแรกอาเซียน

ไทยโพสต์

“ภูมิธรรม” เผยวงถก สมช. ยังคุมเข้มมาตรการชายแดนกัมพูชา

สำนักข่าวไทย Online

ตำรวจคุมเข้ม ‘ม็อบ 28 มิ.ย.’ เฝ้าระวังชุมนุมคู่ขนาน แนะเลี่ยงเส้นทางโดยรอบ

The Bangkok Insight

"ชูวิทย์" มาเอง แหกแผนสมรู้ร่วมคิด "ฮุนเซน" อ่านจบ มีสะเทือน

TNews

‘โรงพยาบาลตราด’ออกแถลงการณ์ 3 ภาษา ยืนยัน ดูแลแม่-ลูกกัมพูชา หลังคลอด

JS100

เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial]

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

อนุทินขนลูกพรรคภูมิใจไทยลงพื้นที่สุรินทร์ มอบสิ่งของและกำลังใจให้ชาวบ้าน ขอให้มั่นใจ ทุกคนต้องมีความปลอดภัย ปัญหาขัดแย้งเป็นเรื่องของผู้นำ

THE STANDARD

ภูมิธรรมมอบโล่หน่วยงาน-บุคคลผลงานยอดเยี่ยมป้องกันปราบปรามยาเสพติด ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 รับโล่ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้อง ไม่สน ฮุน เซน พาดพิง

THE STANDARD

วิโรจน์เตือนคนไทยอย่าตามกระแส ฮุน เซน ชี้กัมพูชามีผู้นำสายคอนเทนต์ ท้าเปิดชื่อ 7 นักการเมืองไทยฟอกเงิน

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...