ทำไมสวีเดนถึงได้เลือดเย็นกับกัมพูชา เลิกคบเลิกช่วยแถมเสริมกริพเพนให้ไทย "เขมรโกรธแล้วนะ!"
ประชาชนกัมพูชา (จำนวนไม่น้อย) ขาดสิ่งที่เรียกว่า "มโนสำนึก" เพราะในขณะที่ตัวเองวางทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทยจนทหารไทยต้องได้รับบาดเจ็บคนแล้วคนเล่า คนเขมรก็พากันหัวเราะชอบใจ โดยไม่แยแสว่ารัฐบาลตนตระบัดสัตย์สัญญาหยุดยิงและยังใช้อาวุธที่กฎหมายระหว่างประเทศห้ามใช้
เรียกว่าผิดสองเด้ง แต่เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะ จึงดื้อด้านบอกว่า "ข้าไม่ผิด"
พอไทยสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพนจากสวีเดน พวกเขมรต่ำกัมพูชาก็พากันโวยวายว่าสวีเดนไม่สนใจสิทธิมนุษยชนด้วยการขายอาวุธให้ไทยซึ่งจะนำมาใช้กับกัมพูชา ทั้งๆ ที่เครื่องบินขับไล่เป็นอาวุธในการรบตามระบอบ (Conventional warfare) ถูกต้องตามกติกาสงครามสากล และไทยไม่ได้ใช้มันกับเป้าหมายพลเรือน ผิดกับเขมรต่ำกัมพูชาที่เล็งเป้าหมายฆ่าพลเรือนไทย
สวีเดนเขาไม่โง่เหมือนกัมพูชา เขาเห็นว่าไทยปฏิติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เพียงไม่ฆ่าพลเรือนเขมรแต่ยังคุ้มครองคนเขมรในไทยด้วยซ้ำ การสงครามครั้งนี้โลกจึงประจักษ์ว่า "ไทยเป็นนักรบที่รบด้วยแล้วไม่ต้องกลัวจะถูกแทงข้างหลัง แต่เราสู้ตามกฎสากลและรบโดยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน"
นี่คือการยกระดับไทยให้เทียบเท่าอารยะประเทศ ดีไม่ดีจะทำให้ไทยเป็นตัวอย่างของการรบแบบใหม่ที่รักษากติกาอย่างเคร่งครัดแต่ได้ผลการรบที่ยอดเยี่ยม
ส่วนรัฐบาลกัมพูชานั้นกระทำการหยาบช้านานาประการ ไม่เพียงฆ่าพลเรือน ทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังใช้สงครามไซเบอร์อันต่ำช้าด้วยการปล่อยข่าวปลอมและระดมยิงข้อความเข้าข้างตัวเองอย่างน่าทุเรศตามโซเชียลมีเดีย จนชาวโลกเขาระอากันไปหมด
นานวันเข้า อารยะประเทศจึงหันมาสนับสนุนไทย และสนับสนุนไทยในการปราบ "รัฐอันธพาล" คือกัมพูชา
กริพเพนจึงตกมาถึงมือไทยอีกจำนวนหนึ่งโดยไม่ยากเย็น เพราะสวีเดนเห็นแล้วว่า "ไทยใช้มันอย่างถูกต้องชอบธรรม" แม้จะมีการปั่นข่าวว่าสวีเดนลังเลที่จะขายให้ไทย อาจเพราะตอนนั้นสวีเดนและนานาประเทศ กำลังหวั่นไหวไปตามสงครามข่าวเท็จที่กัมพูชาระดมยิงไปทั่วโลกว่า "ไทยล่วงละเมิดทุกสิ่งทุกอย่าง"
แต่สวีเดนนั้นเป็นชาติที่รู้เช่นเห็นชาติกัมพูชามาก่อนชาติอื่นเสียอีก
ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 กระทรวงการต่างประเทศสวีเดนประกาศว่าจะปิดทำการสถานเอกอัครราชทูตประจำกรุงพนมเปญจะในปี พ.ศ. 2564 และการดำเนินการทางการทูตจะกระทำผ่านเอกอัครราชทูตประจำกรุงเทพฯ เรื่องนี้สร้างความงุนงงสับสนให้กับกัมพูชาอย่างมาก ว่าเพราะเหตุใดสวีเดนจึงละทิ้งกัมพูชา?
เรื่องนี้เป็นผลจากสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศกัมพูชาที่เลวร้ายลง อีกทั้งสวีเดนยุติความร่วมมือด้านความช่วยเหลือจากรัฐกับกัมพูชาเมื่อต้นปีก่อนที่จะประกาศปิดสถานทูตด้วยซ้ำ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 รัฐบาลสวีเดนได้ตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางใหม่ในการช่วยเหลือกัมพูชา โดยระบุว่า "ความช่วยเหลือจะมุ่งเน้นไปที่สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม โดยหลักการแล้วความร่วมมือจะเกิดขึ้นเฉพาะกับหน่วยงานที่ไม่ใช่รัฐเท่านั้น"
นั่นหมายความว่า สวีเดนได้เห็นแล้วว่าเงินช่วยเหลือด้านมนุษธรรมที่และการส่งเสริมเสรีภาพที่ให้ระบอบฮุนไปนั้น "สูญเปล่า" และต่อจากนี้จะช่วยผ่านองค์กรที่ไม่ใช่รัฐเท่านั้น
แต่ผมก็ยังสงสัยว่าแม้จะช่วยเหลือภาคประชาสังคมกัมพูชา สวีเดนเองก็อาจช่วยไม่ได้เต็มที่ หรือเอาเข้าจริงสิ่งที่ภาคประชาสังคมกัมพูชาต้องการไม่ใช่เงิน แต่เป็น "การปรากฏตัวของสวีเดน" ในกัมพูชาในฐานะ "ไม้กันหมาระบอบฮุน"
เพราะหลังจากมีข่าวปิดสถานทูต องค์กรภาคประชาสังคมของกัมพูชา 50 แห่งได้ส่งจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศสวีเดนพิจารณาการตัดสินใจอีกครั้ง หรือพิจารณาอย่างจริงจังที่จะส่งผู้แทนทางการเมืองประจำกรุงพนมเปญ โดยจดหมายระบุว่า “เรามองว่ารัฐบาลสวีเดนเป็นพันธมิตรสำคัญในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในกัมพูชา” และ “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสวีเดนจะพิจารณาแผนการปิดสถานทูตอีกครั้ง และคงไว้ซึ่งการทูตในกรุงพนมเปญ เพื่อคงสถานะผู้มีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนที่แข็งแกร่งในกัมพูชา”
เขมรเหล่านี้เรียกร้องให้สวีเดนจัดหน่วยงานและกำลังคนมา "รับผิดชอบติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง" ในกัมพูชา
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่กงการอะไรของสวีเดน แต่เพราะสวีเดนเป็นอารยะประเทศที่มองเห็นการกดขี่ของระบอบฮุนต่อหน้าต่อตา และยังเป็นประเทศที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ภาคประชาสังคมของกัมพูชาจึงมองสวีเดนเป็นที่พึ่งทางกายภาพในการต่อกรกับรัฐบาลฮุน เซนและลูก ไม่ใช่ที่พึ่งทางการเงิน (อย่างเดียว)
โปรดทราบว่า สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ให้การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมแก่กัมพูชาหลังจากการล่มสลายของเขมรแดงในปี พ.ศ. 2522 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระยะยาวเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2566 รัฐบาลสวีเดนกลับตัดสินใจที่จะยุติความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทวิภาคีกับกัมพูชาโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของภาคประชาสังคมกัมพูชาและอดีตทูตสวีเดนประจำกัมพูชาที่่บอกว่า "ในวิกฤตการณ์ประชาธิปไตยในกัมพูชา สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดคือสวีเดนต้องรักษาความสัมพันธ์และให้การสนับสนุนภาคประชาสังคม เมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากที่ผู้เห็นต่างในกัมพูชาต้องเผชิญ"
แต่รัฐบาลสวีเดนคงเห็นแล้วว่าต่อให้ช่วยภาคประชาสังคมกัมพูชาไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าจะให้วิเคราะห์คือประการแรกคือระบอบฮุนแข็งแกร่งเกินไปที่จะสนับสนุนฝ่ายค้านให้คอยตรวจสอบ (เพราะประชาชนเขมรเอาแต่เลือกรัฐบาลฮุนเข้ามาปกครอง)
ประการที่สอง ฝ่ายค้านและประชาสังคมเขมรเองก็มีลักษณะไม่สากล นั่นคือมองเห็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเฉพาะประเทศของตนทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมองข้ามพรมแดนและเชื้อชาติ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าภาคประชาสังคมเขมรไม่ดูดำดูดีเวลาที่พลเรือนไทยถูกละเมิดสิทธิมุนษยชนโดยรัฐบาลกัมพูชาในระหว่างการรบกัน หากประชาสังคมกัมพูชาเห็นแก่มนุษยธรรมที่ไร้พรมแดนแล้ว พวกเขาจะสามารถใช้ประเด็นนี้ทำให้ประชาคมโลกรังเกียจและคว่ำบาตรระบอบฮุนก็ยังได้ แต่พวกเขาไม่ทำเพราะพวกเขา "รักชาติ" มากกว่ามนุษยธรรม
เพราะความที่รัฐบาลเป็นอันธพาลและภาคประชาสังคมเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่อารยะประเทศจะคอยช่วยเหลือประเทศกัมพูชา เพราะช่วยไปก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น แถมยังบ่อนทำลายหลักการสิทธิมนุษยชนสากลด้วยซ้ำไป
อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีเสียงเรียกร้องจากประชาสังคมกัมพูชา อดีตสทูตสวีเดน และองค์กรต่างๆ ในสวีเดนให้ชะลอเรื่องนี้ออกไปหรือเลิกแผนการถอนตัวจากกัมพูชาไปเลย เช่น Dagens Arena สื่อของสวีเดนที่มีบทความเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่กล่าวว่า "เราขอเรียกร้องให้สวีเดนขยายระยะเวลายกเลิกมาตรการนี้ในกัมพูชาออกไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2568 ในนามของความเหมาะสม และขอให้รัฐบาลในบริบทของสหภาพยุโรปสนับสนุนความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อจุดประสงค์ด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา"
แม้สื่อสวีเดนจะเรียกร้องให้เลื่อนการ "ละทิ้งกัมพูชา" ออกไป แต่พอมาถึงปี 2568 กัมพูชายิ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้าย เช่น การลอบสังหาร ลึม กึมยา แกนนำพรรคฝ่ายค้านในกรุงเทพฯ และตามมาด้วยการทำสงครามกับไทยซึ่งคร่าชีวิตพลเรือนของไทยและถล่มเป้าหมายที่เป็นโรงพยาบาลและโรงเรียน
แบบนี้รัฐบาลสวีเดนจะชะลอแผนการถอนตัวจากกัมพูชายังไงไหว?
อย่างที่บอกก็คือ รัฐบาลสวีเดนคงจะหมดหวังแล้วกับกัมพูชาที่ "กำลังมุ่งในทิศทางเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆ มาระยะหนึ่งแล้ว และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐก็เพิ่มมากขึ้น เสรีภาพในการพูดถูกปิดกั้น หนังสือพิมพ์และสถานีวิทยุถูกปิดปาก ที่ดินทำกินถูกเวนคืนโดยการยึดที่ดินขนาดใหญ่โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล ป่าไม้ถูกทำลายโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผู้นำสหภาพแรงงานถูกจำคุก นักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกคุกคามและคุกคาม ฝ่ายค้านทางการเมืองถูกตัดปีก และพรรครัฐบาล CPP ก็ไม่ถูกคุกคามอีกต่อไป อดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้ส่งมอบอำนาจให้กับฮุน มาเนต บุตรชายของเขาอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย" (นี่คือการบรรยายของสื่อ Dagens Arena เองซึ่งบอกให้รัฐบาลสวีเดนชะลอการถอนตัวจากกัมพูชาไปก่อน)
ดังนั้น เมื่อหมดหวังกับการช่วยประเทศที่กำลังจะเป็นเผด็จการเรื่อยๆ จะไม่ดีกว่าหรือหากสวีเดนจะช่วยประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ภาคประชาสังคมเข้มแข็งมากกว่า และมีประสบการณ์ในการช่วยสร้างประชาธิปไตยในภูมิภาค - นั่นคือไทย
ตราบใดที่ทหารไทยไม่ "ประหารระบอบประชาธิปไตย" และทำหน้าที่ทหารอาชีพที่โลกกำลังชื่นชมอยู่ในเวลานี้ ผมเชื่อว่า สวีเดนพร้อมที่จะสนับสนุนไทยอย่างเต็มที่ในการเป็นเสาหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเพื่อเป็น "แนวทางทำลายระบอบฮุน" ซึ่งเราได้เห็นแล้วจากการที่รัฐบาลสวีเดนพร้อมเป็นพันธมิตรกับไทยในด้านความมั่นคง
ผมเชื่อว่าตอนแรกสวีเดนคงหมดหวังแล้วที่จะช่วยประคองประชาธิปไตยและสิทธิมุนษยชนในกัมพูชา แม้แต่พวกประชาสังคมที่นั่นก็หวังอะไรไม่ได้ แต่พอเกิดสงครามไทย-กัมพูชา สวีเดนก็เห็นแสงสว่างในทันที ว่าแทนที่จะเสียเงินไปเปล่าๆ กับประเทศที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็ควรจะผูกมิตรให้แน่นแฟ้นกับประเทศที่มีคุณสมบัติเยี่ยง "อัศวินขี่ม้าขาว" ในภูมิภาคนี้อย่างประเทศไทยจะดีกว่า
"อัศวินไทยขี่ม้าขาว" ไม่เพียงจะปราบระบอบเผด็จการฮุนเท่านั้น ตอนนี้ยังตั้ง War room กับ "ประเทศที่เจริญแล้ว" เพื่อทำลายสแกมเมอร์กัมพูชาอันเป็นท่อน้ำเลี้ยงของระบอบฮุนด้วยซ้ำ
ในขณะที่นักการเมือง ประชาสังคม และสื่อสวีเดนกังวลเรื่องรัฐบาลตัวเองถอนความช่วยเหลือและลดระดับการทูตกับกัมพูชาว่า "จะบ่อนทำลายประชาธิปไตยในกัมพูชา" แต่นี่เป็นโอกาสดีที่ไทยจะบอกกับคนเหล่านั้นว่า "รัฐบาลสวีเดนทำถูกแล้วที่เลิกช่วยกัมพูชา" เพราะช่วยไปก็ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น หนำซ้ำเงินช่วยเหลือยังไปถึงผิดกลุ่ม
ควรที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางประสานงานเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชา และช่วยเหลือนักเคลื่อนไหวในกัมพูชาให้มีที่ยืนในไทยเพื่อใช้ไทยเป็นที่มั่นในการโค่นระบอบเผด็จการในกัมพูชา
ในอาเซียนนี้ไม่มีประเทศไหนที่สวีเดน สหภาพยุโรป และประเทศที่มีมโนสำนึกไหนๆ จะฝากความหวังได้เท่ากับไทยอีกแล้ว
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo- เครื่องบินขับไล่ JAS Gripen ของกองทัพอากาศสวีเดนกำลังขึ้นบินจากฐานทัพอากาศ Orland ระหว่างการฝึกซ้อม Arctic Fighter Meet ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-25 สิงหาคม ณ เมือง Brekstad ทางตะวันตกของเมือง Trondheim ประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2023 เครื่องบินขับไล่ F-35 ของนอร์เวย์ เครื่องบินขับไล่ JAS Gripen ของสวีเดน และเครื่องบินขับไล่ F-18 ของฟินแลนด์ เข้าร่วมการฝึกซ้อม Arctic Fighter Meet ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศนอร์ดิก (NORDEFCO) (ภาพโดย Jonathan NACKSTRAND / AFP)