'อิมแพ็ค'เดินหน้าปั้นอาณาจักรให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงระดับโลกปักธงผู้นำธุรกิจไมซ์เอเชีย
นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส แห่งใหม่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี ตามฟุตปรินต์จะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 2-3 แสนตารางเมตร เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย สถานีทะเลสาบเมืองทองธานี เพื่อปักธงเป็นผู้นำธุรกิจไมซ์ในเอเชียและเป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานประชุม ธุรกิจ และความบันเทิงที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยเน้นขยายการลงทุนใหม่ เพื่อรองรับกลุ่มไมซ์ และการร่วมทุนกับไลฟ์เนชั่น ภายใต้อิมแพ็ค ไลฟ์ เนชั่น สร้างอาณาจักรอิมแพ็คให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงระดับโลก
โดยจะเดินหน้าพัฒนาการลงทุนใหม่ในพื้นที่ทะเลสาบเมืองทองธานี ในพื้นที่ 2-3 แสนตารางเมตรเป็นมิกซ์ยูส ในแบบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่งตั้งเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนโรงแรมในพื้นที่จาก 900 กว่าห้องเป็น 5,000 ห้อง ภายในปี 8 ปี หรือภายในปี 2576 เตรียมสร้างโรงแรมใหม่ 2 แห่งระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์ฮิลตัน จำนวน 300 ห้อง และระดับ 4 ดาว ภายใต้แบรนด์ฮิลตัน การ์เด้นท์ อินน์ มูลค่าการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาทเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายน ปี 2569 ซึ่งจะใช้เงินในการลงทุนของบางกอกแลนด์เอง และการขายโรงแรมโนโวเทล และไอบิส เข้า อิมแพ็ค โกรท รีท ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 นี้ เพื่อนำเงินมาลงทุนคาดว่าโรงแรมฮิลตัน และ ฮิลตัน การ์เด้นท์ อินน์ จะเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2570 หรือต้นปี 2571 นอกจากนี้พื้นที่ในบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ยังมองการลงทุนในส่วนของช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ที่อยู่ระหว่างการเจรกับนักลงทุนต่างประเทศ และยังมองถึงการสร้างสวนน้ำ เพื่อเป็น Tourist Attraction สำหรับลูกค้ากลุ่มไมซ์ที่เข้ามาในอิมแพ็คด้วย
นายพอลล์ ยังกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันในขณะนี้บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในการขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น โดยเตรียมจะร่วมทุนกับกับ ไลฟ์เนชั่น จัดตั้งบริษัท อิมแพ็คไลฟ์เนชั่น จำกัด ในสัดส่วน 51 ต่อ 49 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ในการลดต้นทุนให้กับผู้จัดงาน และเพิ่มเซอร์วิสต่างๆให้ตรงกับเทรนด์ในปัจจุบัน เพื่อดึงคอนเสิร์ต ทั้งในส่วนที่จัดโดยไลฟ์เนชั่น รวมถึงผู้จัดงานอื่นๆ เข้ามาจัดคอนเสิร์ตในอิมแพ็ค อารีน่าเพิ่มขึ้น เพื่อทำให้มีอีเว้นท์เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่เกิดขึ้น เป็นไปตามแผน หลังจากก่อนหน้านี้อิมแพ็ค โกรท รีท ได้ให้ อิมแพ็ค ไลฟ์ เนชั่น เช่าอาคารและที่ดินในส่วนของอิมแพ็ค อารีน่า เป็นระยะเวลา 20 ปี คิดเป็นมูลค่ารวมตามสัญญากว่า 4,617 ล้านบาท เพื่อร่วมกันทำให้อิมแพ็คในฐานะจุดหมายปลายทางด้านความบันเทิงระดับโลก
สำหรับสนามฟุตบอลธันเดอร์ โดม สเตเดียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กทท.) และกำลังจะหมดสัญญาเช่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนจะรีโนเวตให้เป็น เอาต์ดอร์ สเตเดียม (Outdoor Stadium) ที่สามารถรองรับการจัดอีเวนต์และคอนเสิร์ตขนาดใหญ่มีความจุกว่า 45,000 คน
นอกเหนือจาก 2 อาคารหลักในปัจจุบัน ได้แก่ อิมแพ็ค อารีน่า และ ธันเดอร์โดม ที่ติด 1 ใน 5 ของสถานที่จัดงานในประเทศไทยที่ผู้จัดทั่วโลกเลือกใช้บริการ ด้วยความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางสะดวกสบาย เเละรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายที่เชื่อมต่อกับอาคารโดยตรง ยังมีอาคารอื่นๆ ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ทั้งอาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ที่มีพื้นที่ถึง 60,000 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าร่วมงานได้ 45,000-50,000 คน กลายเป็นอาคารจัดอีเวนต์บันเทิงในร่มขนาดใหญ่ หรือ อาคาร 5-12 สามารถจัดอีเวนต์บันเทิงในร่มได้เช่นกัน แบ่งย่อยได้ถึง 8 อาคาร ปรับเลือกการใช้งานได้ตามความเหมาะสม รองรับผู้ร่วมงานได้เฉลี่ย 3,500-4,500 คนต่ออาคาร โดยมีแผนพัฒนาห้องแต่งตัวบริเวณอาคาร 5-6 ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนอีเวนต์ด้านความบันเทิงในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งริมทะเลสาบเมืองทองธานีกว่า 150,000 ตารางเมตร เหมาะสำหรับการจัดเทศกาลดนตรี เฟสติวัลขนาดใหญ่ พร้อมวิวทะเลสาบเปิดโล่ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ดังนั้นทิศทางของบริษัทในเครืออิมแพ็คนับจากนี้ จะเดินหน้าขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท ควบคู่กับการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางไมซ์และอีเวนต์ที่สำคัญในภูมิภาค
ขณะที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ปัจจุบันมี 18 แบรนด์ในเครือ รวมทั้งสิ้น 29 สาขา ได้แก่ บิสโตร เดอ แชมเปญ, ฟลาน โอเบรียนส์ ไอริช ผับ, เฮยยิน, ฮ่องกง คาเฟ่, ฮ่องกง ฟิชเชอร์แมน, ฮ่องกง สุกี้, อิมแพ็ค ฟาร์ม, อิมแพ็ค เลคฟร้อนท์, อีสาน แอ็ท อารีน่า, เรโทร บาร์ แอนด์ คาเฟ่, เทอราซซ่า, ทองหล่อ, ซิกส์ ซีโร่ การาจ แอนด์ โรสเตอร์, อีส คาเฟ่, เดอะ คอฟฟี่ อะคาเดมิคส์ ไทยแลนด์, นิปปอน โยโคโจว, ไทโชเต, สึโบฮาจิ (ร้านที่เปิดให้บริการภายในศูนย์ฯ 20 สาขาและนอกพื้นที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 9 สาขา) โดยครึ่งปี 2568 นี้มีแผนจะขยายแบรนด์ร้านอาหารใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย โดยจะเป็นร้านอาหารจีนชื่อ XIANYUAN พื้นที่ 900 ตารางเมตร ในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค ซึ่งเป็นซีบีดีใจกลางเมือง จะเปิดในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ และขยายการให้บริการเอ้าท์ไซด์แคทเทอริ่ง ในส่วนของธุรกิจโรงเรียนสอนประกอบการ ล่าสุดอิมแพ็คได้ยกเลิกสัญญากับทางเลอโนท ประเทศฝรั่งเศส เพื่อมาบริหารจัดการเองเพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการหารายได้เพิ่มมากขึ้น
ในปัจจุบันโครงสร้างรายได้หลักของบริษัทมาจาก 4 ส่วน ได้แก่ ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่จัดงาน ธุรกิจรับจ้างจัดงานครบวงจร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม คาดว่าในปี 2568 เครืออิมแพ็คมีรายได้รวมเติบโตกว่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 จะมีรายได้แตะ 9,000 ล้านบาท