"วรวงศ์" ทวง ธปท.ขยับนโยบายเงิน รับมือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 19%
"วรวงศ์" ทวง ธปท. ขยับนโยบายเงิน รับมือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 19% พรุ่งนี้มีผลบังคับใช้
วันที่ 6 ส.ค.68 นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Reciprocal Tariff ที่มีต่อไทย ซึ่งทำเนียบขาวประกาศอัตราภาษี 19% เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้นั้น นายวรวงศ์ กล่าวว่า ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณและขอแสดงความดีใจกับทีมไทยแลนด์ที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา แม้ว่าอัตราภาษีสูงถึง 19% แต่ก็ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตรา 36% และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะส่งผลถึงประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นกว่าประมาณการเดิม ขอปรบมือให้คณะเจรจาทุกท่านที่ทำงานกันอย่างหนักตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นการเจรจาตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา แต่อย่างไรก็ตาม ชาวไทยได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งนี้เป็นจำนวนมากและเป็นวงกว้างครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านบาท
โดยปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้คือ อุปสงค์ (Demand) ภายในสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น เนื่องจากมีภาษีศุลกากรช่วยกั้นสินค้านำเข้าไว้ ซึ่งตรงตามจุดประสงค์การขึ้นอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรภายในประเทศให้มีพื้นที่เพียงพอสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ มีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เป็นการเอาใจฐานเสียงของตนเอง แต่ฟากประเทศผู้ส่งออกราคาสินค้าส่งออกจะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้จากงานศึกษาวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าผู้ส่งออกจะรับเอาภาษีไว้มากกว่าผู้บริโภค ดังนั้นเท่ากับว่าประเทศผู้ส่งออกสินค้าเป็นผู้แบกรับต้นทุนภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นมากกว่าประเทศปลายทาง ต้นทุนเหล่านี้จะถูกส่งต่อมายังผู้ผลิต ทำให้ราคาผู้ผลิตตกต่ำลงอย่างหนัก รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loans) งบประมาณสนับสนุน SME และเกษตรกร รวมถึงการช่วยผู้ประกอบการขยายตลาดใหม่ เป็นต้น ซึ่งสามารถเยียวยาผลกระทบได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ตามทฤษฎี เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถช่วยเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ที่เหมาะสม คือ การแทรกแซงค่าเงิน (Exchange rate intervention) โดยนำเงินบาทซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่าลง จุดประสงค์คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ป้องกันความผันผวนระยะสั้น พยุง GDP ให้สามารถเติบโตได้ตามเดิม ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเอื้อการส่งออกโดยตรง จึงไม่ผิดกติการะหว่างประเทศ นอกจากนั้นการลดค่าเงินยังช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอื่น ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าแรงต่ำ หนี้ภาคครัวเรือนสูง
สำหรับพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา อัตราใหม่ 19% จะมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณจากผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการใดช่วยผู้ส่งออกเลย วันนี้ผมจึงขอทวงคำสัญญา “พร้อมขับเคลื่อน ธปท. เชิงรุก เปิดใจชูจุดยืนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” โปรดอย่าลอยตัวเหนือปัญหา เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน มีหน้าที่สำคัญในการลดผลกระทบผู้ประกอบการและลดทอนความเสียหายต่อประชาชน ธปท. จึงควรพิจารณามาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
นายวรวงศ์ กล่าวทิ้งท้าย “ในสถานการณ์ที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ การไม่ขยับนโยบายการเงินเลยอาจสะท้อนความเฉื่อยชาทางนโยบายมากกว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลาง”
#ขึ้นภาษีสหรัฐ #USReciprocalTariff #ส่งออกไทย #ภาษีนำเข้า #ธปท #วรวงศ์รามางกูร #เงินบาท #นโยบายการเงิน #เศรษฐกิจไทย #ข่าวเศรษฐกิจ