“UTA” ขีดเส้น 1 เดือนยังไม่ชัดเจน! จะยกเลิกสัญญา “เมืองการบินฯ” ขอเงินลงทุนไปแล้ว 4 พันล้านคืน
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เปิดเผยว่า ในช่วงเย็นของวันที่ 1 ก.ย.2568 จะมีการประชุมหารือภายในของบริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) เพื่อพิจารณาว่าจะเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาทต่อไปหรือไม่ เนื่องจากมีความล่าช้า และยังไม่มีความชัดเจนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งตามสัญญาจะต้องดำเนินการภายในเดือน มิ.ย. 2568 แต่ปัจจุบันครบกำหนดตามสัญญาประมาณ 5 ปีแล้วนับตั้งแต่วันลงนามสัญญา แต่กลับยังไม่มีการดำเนินการใดๆ
นายพุฒิพงศ์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้น UTA จะให้เวลาภาครัฐอีก 1 เดือน หากยังไม่มีความชัดเจน และได้ข้อสรุปก็จะยกเลิกสัญญาฯ เพราะถือว่าภาครัฐทำผิดข้อกำหนด พร้อมทั้งจะขอเงินที่ได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาทคืนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในฐานะคู่สัญญาด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการพิจารณาการปรับลดขนาดการลงทุนจาก EEC ซึ่ง UTA ได้เสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยแผนเดิมจะพัฒนาในระยะแรกให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 12 ล้านคนต่อปี เป็น 3 ล้านคนต่อปี เนื่องจากปริมาณผู้โดยสารในปัจจุบันมีเพียง 4 แสนคนต่อปี
ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันก็ยังสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 2-3 ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตามหากในระหว่างนั้น ผู้โดยสารเติบโตขึ้น ก็จะทยอยลงทุนให้รองรับได้ที่ 6 ล้านคน จนครบ 12 ล้านคนต่อปี และให้สามารถรองรับได้ 60 ล้านคนต่อปี ในปีที่ 50 อย่างไรก็ตามการปรับลดขนาดลงทุนดังกล่าว ทาง EEC จะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการเสนอ ครม. แต่อย่างใด และขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร
นายพุฒิพงศ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการร่วมลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ในพื้นที่ EEC ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระหว่างบริษัท บางกอกแอร์เวย์สฯ กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นั้น ขณะนี้บริษัทฯ ได้นำเสนอรายละเอียดถึงขอบเขตในการบริหารงานโครงการว่าจะดำเนินการในลักษณะรูปแบบใดไปยัง EEC พิจารณาแล้ว โดยเบื้องต้นบริษัท บางกอกแอร์เวย์สฯ และบริษัท การบินไทยฯ จะมีการแบ่งพื้นกัน โดยบางกอกแอร์เวย์ส จะรับผิดชอบพื้นที่ขนาด 30 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 200 ไร่ วงเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการซ่อมอากาศยานลำตัวแคบ อาทิ เครื่องบินแอร์บัส A320 และแอร์บัส A319 ขณะที่การบินไทยจะดูแลเครื่องบินลำตัวกว้าง โดยทั้งสองฝ่ายจะสร้างโรงซ่อมบำรุงเครื่องบิน (Hangar) แยกกัน.