ห่วง PayLater ลามกินข้าวผ่อนจ่าย หวั่นกระตุ้นก่อหนี้เกินตัว มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
วันที่ 25 ส.ค. นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ได้เปิดให้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (BNPL) ค่อนข้างมาก ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว และมีความเสี่ยงไม่พิจารณาภาระหนี้อื่นๆ ของลูกหนี้, ได้รับวงเงินสินเชื่อสูง โดยนำไปใช้เติมน้ำมัน หรือกินอาหารผ่อนชำระได้ด้วย เป็นปัญหาต้องดูแลจริงจัง เพราะจะเป็นปัญหาและมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากของพวกนี้ควรจ่ายเต็ม ไม่ควรผ่อน
“เรื่องซื้อก่อนจ่ายทีหลัง จากแพลตฟอร์มซื้อสินค้าออนไลน์ ไม่ได้แค่ซื้อสินค้าอย่างเดียว แต่ได้ขยายไปเติมน้ำมัน หรือทานอาหาร และมีผ่อนชำระด้วย ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติแล้ว ตอนนี้ข้อมูลเห็นมาได้ไม่นาน และขยายไปเรื่องพวกนี้ด้วยคงต้องมาหารือกันว่าจะทำอย่างไร”
สำหรับหนี้ครัวเรือนไตรมาสแรกปี 68 มูลค่าหนี้ปรับตัวลดลง 0.1% ถ้าดูในแง่มูลค่าไตรมาสต่อไตรมาส เพิ่มขึ้น 0.5% โดยมูลค่าหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลงทุกรายการตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมา กำกับดูแลเรื่องปล่อยสินเชื่อ ส่วนหนี้ด้อยคุณภาพ หรือเอ็นพีแอลธนาคารพาณิชย์ ไตรมาสแรกขยายตัวเพิ่มจาก 3.26% ในไตรมาส 4 เป็น 3.41% มาจากที่อยู่อาศัยและบัตรเครดิต ส่วนรถยนต์ทรงตัว
ขณะที่เอ็นพีแอลสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น สศช.ได้ให้ความสำคัญมาก เพราะถ้าคนมีบ้านและหลุดไป จะขาดความมั่นคงในชีวิตตามไปด้วย ซึ่งช่วงที่ผ่านมา สินเชื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวเพิ่มนั้น ไม่ได้อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางหรือรายได้น้อย แต่ขยับไปกลุ่มอื่น
“เอ็นพีแอลเป็นระเบิดเวลาที่เกิดขึ้น แต่การแก้ปัญหาซับซ้อนและยากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มกู้นอกระบบผ่านแอปพลิเคชัน และไม่ถูกกฎหมายมีช่องทางโซเชียลมีเดียด้วย โดยต้องกำกับดูแลจริงจังและปราบปราม ในขณะที่ได้พยายามแก้หนี้ 3 เรื่อง คือ หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้รถยนต์ และหนี้ธุรกิจ ถ้ามีแนวโน้มแก้ได้ จะช่วยคนมีความมั่นคง มีรายได้มากขึ้น เพราะหนี้จะลดลงมาก อย่างโครงการคุณสู้เราช่วยอาจต้องปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมให้คนเข้าร่วมโครงการมากขึ้นเรื่อยๆ”
นายดนุชา กล่าวว่า ภาวะสังคมไทยไตรมาส 2 ปี 68 การจ้างงานดีขึ้น อัตราว่างงานใกล้เคียงก่อนหน้า โดยผู้มีงานทำอยู่ที่ 39.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.02% มีผู้ว่างงาน 0.91% ทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า 0.88% หรือมีผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน เป็นกลุ่มที่เคยทำงาน 1.4 แสนคน และไม่เคยทำงาน 2.3 แสนคน ส่วนผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 5.2% มาอยู่ที่ 2.1 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม เนื่องจากมีการชะลอเพาะปลูก และ 1 ใน 4 เป็นแรงงานผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ต้องเฝ้าระวังแรงงานจากผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมามีการเร่งนำเข้า โดยช่วงต่อไปมีความเสี่ยงเรื่องภาษีและการสวมสิทธิสินค้า (ทรานชีฟเมนท์) ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้โดนภาษี 40% อย่างไรก็ตามภาครัฐจะต้องมีส่วนช่วยขยายตลาดใหม่ ส่งเสริมการใช้สินค้าไทย กำกับดูแลมาตรการป้องกันเรื่องนำเข้าสินค้า ต้องมีการกำกับนำเข้าอย่างเข้มงวด และเรื่องสวมสิทธิ รวมทั้งขยายซัพพลายเชนให้มากขึ้น
ส่วนรูปแบบการจ้างงานมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป จากฟูลไทม์ (เต็มเวลา) ปรับเป็นพาร์ตไทม์ (ชั่วคราว) และใช้พนักงานสัญญาจ้างมากขึ้น หรือทำงานพาร์ตไทม์ชั่วคราวมากขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ กระทบความมั่นคงการจ้างงานและรายได้แรงงาน ทำให้หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องดูแลอย่างเข้มงวด เช่น เรื่องการจ่ายค่าจ้างให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ด้วย
ขณะที่สถานการณ์แรงงานต่างด้าว กรณีมีแรงงานกัมพูชากลับประเทศนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีจำนวนเท่าใด แต่เบื้องต้นมีแรงงานกัมพูชากลับประเทศ 80% ของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาการบริหารจัดการทำได้ระดับหนึ่ง พอแรงงานส่วนนี้หายไป จะดึงแรงงานประเทศอื่นเข้ามาเพิ่มเติม เชื่อว่าผลกระทบแรงงานขาดหายไปแค่ระยะสั้น คงมีแรงงานประเทศอื่นทดแทน ทำให้ผลกระทบเศรษฐกิจไม่มากอย่างที่คาด ไม่น่าจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก
นายดนุชา กล่าวว่า มีบางองค์กรได้ทำการเปิดสมัครใจลาออก ซึ่งเปิดให้ตั้งแต่อายุ 45 ปี ในเรื่องนี้มองว่า ต้องดูว่าบุคคลที่สมัครใจลาออก จะไปทำอะไรต่อ แต่เชื่อว่าเงินที่ได้จากการสมัครใจออก ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ อายุ 70-80 ปี คงต้องดูว่าคงสมัครใจออกไปทำอะไรต่อ ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าสมัครใจหรือไม่
ขณะเดียวกัน ภาพใหญ่อาจเป็นการปรับโครงสร้างองค์กร อาจต้องการแรงงานใหม่ และค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า และเป็นเรื่องการบริหารจัดการองค์กร เชื่อว่าคงมีแรงงานเข้ามาทดแทน แต่การตัดสินใจการสมัครใจออกหรือไม่ แต่ละบุคคลพิจารณาให้ดี ออกไปแล้วทำอะไรเลี้ยงชีพได้ต่อไป ซึ่งในโลกปัจจุบัน และค่าครองชีพ คงไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ทำงาน