กต.แจงยิบ MOU43 เอื้อไทยได้เปรียบ มัดกัมพูชาต้องกู้ทุ่นระเบิด
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 ว่า เอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ฉบับปี 2543 ทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบ เพราะเป็นการกำหนดกรอบความตกลงและกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสำรวจ-จัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำ และแนวเส้นตรง รวมถึงยังมีเอกสารอื่น ๆ เช่น แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และ 1907 ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส จึงเป็นที่มาของเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ฉบับปี 2543 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา
นายเบญจมินทร์ กล่าวอีกว่า คณะเจบีซีไทย-กัมพูชา มีหน้าที่สำรวจจัดทำหลักเขตแดน ทำแผนแม่บทกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ มอบหมายและกำกับของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค (เจทีเอสซี) ที่ลงพื้นที่ เพื่อสำรวจเขตแดน และพิสูจน์ตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดนทั้ง 74 หลัก เพื่อจัดทำแผนที่ รวมถึงการพิจารณารายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการเทคนิค อีกทั้งมีหน้าที่สำคัญคือการผลิตแผนที่ที่ไทยและกัมพูชาสามารถนำมาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังย้ำว่า ในเอ็มโอยูไทย-กัมพูชา ฉบับปี 2543 กำหนดให้ไทยและกัมพูชาต้องงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสำรวจเขตแดน และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้เอ็มโอยูดังกล่าวต่อพื้นที่ชายแดน ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องมาเจรจากันตามที่เอ็มโอยูกำหนดไว้ โดยไม่ได้ระบุให้มีบุคคลที่ 3 หน่วยงานที่ 3 หรือหลีกเลี่ยงไปหากลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เพราะตามเอ็มโอยูนี้ กำหนดให้เป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชา และให้ทั้ง 2 ประเทศต้องร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เพื่อให้คณะอนุกรรมาธิการเจทีเอสซีสามารถลงพื้นที่สำรวจเขตแดนในการจัดทำแผนที่ใหม่ได้อย่างปลอดภัยด้วย
“แม้จะยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 ก็ไม่สามารถหนีข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 ได้ เพราะถือเป็นแม่บทกำหนดรายละเอียดไว้ และไม่สามารถหนีแผนที่ 1 : 200,000 ได้ และถ้าจะยกเลิกไป ก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในเอ็มโอยู ปี 2543 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มี และเอ็มโอยูนี้ยังกำหนดกฎเกณฑ์การไม่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งได้เห็นชัดเจนแล้วว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดกฎ ส่วนการสำรวจจัดทำเขตแดน ชุดสำรวจต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จึงเป็นหน้าที่ของทั้ง 2 ฝ่ายในการเก็บกู้ และมีการตกลงร่วมใจกันแล้วในการใช้กลไกเอ็มโอยู ปี 2543 ร่วมกัน” นายเบญจมินทร์ กล่าว
นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า ความคืบหน้าหลังการประชุมเจบีซีไทย-กัมพูชา เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติการทำหน้าที่ของคณะเจทีเอสซีแล้ว เพื่อลงพื้นที่สำรวจเขตแดน 29 หลัก จากจำนวน 74 หลัก ที่ยังไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ ทั้งนี้ การลงพื้นที่สำรวจเขตแดนดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่า กลไกคณะเจบีซีไทย-กัมพูชา ที่เกิดจากเอ็มโอยู ปี 2543 สามารถใช้งานได้ และเริ่มดำเนินการไปแล้วในการสำรวจการปักปันเขตแดน และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ด้วย.