Jaymart ปรับกลยุทธ์สู้เศรษฐกิจชะลอตัวใช้ “J Point” ดันยอดขาย
เศรษฐกิจซบกระทบกำลังจ่ายผู้บริโภค “Jaymart” ปรับกลยุทธ์สู้ชู “ล็อกโฟน” ช่วยกระตุ้นคุม NPL ต่ำ 3% พร้อมดัน "J Point" มัดใจลูกค้า 10 ล้านคนใน 5 ปี เตรียมรุก Insurance, Marketing Service ส่วน “ซิงเกอร์” ยังทรงๆเน้นขยายไดเร็คเซลล์ และโพรดักซ์
นายเอกชัย สุขุมวิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจในประเทสยังไม่สู้ดีนักส่งผลต่อ “spending Power” ของผู้บริโภคที่ลดลง ใช้จ่ายน้อยลงเก็บเงินมากขึ้น Jaymart ได้ปรับกลยุทธ์เชิงรุกโดยเฉพาะกลุ่ม Mobile ซึ่งแม้จะเผชิญกับยอดขายที่ลดลงในสาขาที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าแต่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เนื่องจากบริษัทยังมีจุดแข็งและสิทธิประโยชน์ที่สามารถดึงลูกค้ากลับมาที่หน้าร้านได้
"Lock Phone" และ "Jaymart Network" กลยุทธ์หลักดันยอดขาย
ทั้งนี้ Jaymartใช้กลยุทธ์ "Lock Phone" เข้ามาช่วยให้ผู้บริโภคที่อาจไม่สะดวกชำระค่าเครื่องเต็มจำนวนสามารถผ่อนชำระได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับโมเดลธุรกิจด้วยการใช้ "Jaymart Network" ซึ่งเป็นเครือข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าถึง Lock Phone และขยายยอดขายให้กว้างขึ้นโดยตั้งเป้าขยายJaymart Networkให้ครอบคลุมถึง 1,000 แห่ง
อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบแต่ยอดขายรวมของกลุ่ม Mobileในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทถึง 60-70% และที่สำคัญคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของ Lock Phone ยังคงควบคุมได้ดีที่ต่ำกว่า 3%
ครึ่งปีหลังสดใส คาดการณ์กำลังซื้อฟื้นตัว พร้อมขยาย Ecosystem
นายเอกชัยคาดการณ์ว่า ภาพรวมธุรกิจ Mobile ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงขึ้น อาจมีเพียงช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ที่กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงบ้างเนื่องจากการเปิดภาคเรียนและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
นอกจาก Lock Phone แล้วธุรกิจบริหารหนี้ JMT และธุรกิจร้านอาหาร สุกี้ตี๋น้อย จะเข้ามาช่วยเสริมสร้างรายได้โดยรวมของบริษัทให้เติบโตยิ่งขึ้น ปัจจุบันJaymart กำลังอยู่ในระหว่างการขยาย Ecosystem โดยเก็บฐานข้อมูลลูกค้าจากธุรกิจในเครือทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของJaymart Mobile, JMT, ร้านกาแฟ และสุกี้ตี๋น้อย
โดยให้ความสำคัญกับการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ผ่านโปรแกรม "J Point" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาใช้จ่ายมากขึ้น ผ่านสิทธิประโยชน์และรักษาฐานลูกค้าให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้นด้วย"J Wallet" ที่จะนำเสนอ "ลูกเล่นใหม่ ๆ" เพื่อดึงดูดลูกค้า และยังช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อผนึกกำลังระหว่างธุรกิจต่าง ๆ และเพิ่มยอดขาย
ปัจจุบัน J Point มีฐานสมาชิก 1 ล้านคนและตั้งเป้าขยายเป็น 10 ล้านคนภายใน 5 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายต่อไปยังธุรกิจ Insurance และ Marketing Service เพื่อให้บริษัทในเครือเข้ามาใช้บริการเพื่อสร้าง Synergy ให้เกิดขึ้นได้มากที่สุด
ในส่วนของ“ซิงเกอร์” ซึ่งเป็นบริษัทลูกของJaymart ยังคงรักษาระดับการเติบโตได้ดี โดยได้รับแรงหนุนจาก Lock Phone และยังคงมุ่งเน้นการขยายช่องทาง Direct Sales และเพิ่มความหลากหลายของ Product ให้มากขึ้น