"ทรัมป์" ลั่น เส้นตายไม่เลื่อน! เอาจริง เก็บภาษีทั่วโลก เริ่ม 1 ส.ค.นี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกร้าวผ่าน Truth Social เมื่อวันพุธว่า "เส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม ก็คือวันที่ 1 สิงหาคม ไม่มีการขยายเวลา! วันนี้คือวันสำคัญของอเมริกา!!!" ย้ำชัดว่าสหรัฐฯ จะไม่ขยายเส้นตายการรีเซ็ตมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายสิบประเทศ ซึ่งได้เลื่อนมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ โดยล่าสุดจะมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้
ภายใต้นโยบาย “Reciprocal Tariffs” หรือภาษีแบบต่างตอบแทน ทรัมป์เดินหน้าใช้เครื่องมือทางการค้าเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าให้ยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างเร่งด่วน เขาส่งจดหมายไปยังผู้นำประเทศมากกว่า 20 ประเทศ แจ้งอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกมายังอเมริกา โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป
มาตรการชุดใหม่นี้ถูกชี้ว่าเป็นการนำภาษีรอบก่อนในเดือนเมษายนกลับมาใช้ใหม่ โดยในตอนนั้น ทรัมป์เคยประกาศภาษี blanket rate หรืออัตราเดียวทั่วโลกที่ 10% พร้อมอัตราเฉพาะประเทศสูงสุดถึง 50% สร้างความตึงเครียดและความสับสนให้ตลาดการเงินและผู้นำต่างประเทศ จนต้องเลื่อนการใช้จริงออกไป 90 วันจากกำหนดเดิมในวันที่ 9 กรกฎาคม และสุดท้ายมาลงตัวที่วันที่ 1 สิงหาคม
แม้อดีตจะเคยเปลี่ยนใจเลื่อนเส้นตายมาแล้ว แต่คราวนี้ทรัมป์ย้ำว่า "จะไม่มีการขยายอีก" พร้อมเดินหน้าเก็บภาษีแบบจัดเต็ม เช่น อินเดียจะโดนเก็บภาษี 25% พร้อม “บทลงโทษ” เพิ่มเติมจากการซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย ขณะที่บราซิลถูกขยับขึ้นจาก 10% เป็น 50% ซึ่งในจดหมายของทรัมป์อ้างถึงความไม่พอใจต่อการปฏิบัติต่ออดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ของบราซิล
ประเทศเพื่อนบ้านของสหรัฐฯ ก็ไม่รอด แคนาดาจะโดนภาษี 35% ขณะที่เม็กซิโกจะเผชิญกับอัตราใหม่ที่ 30% ทรัมป์ยังแย้มอีกว่ามีแผนจะปรับฐานภาษีของสหรัฐฯ ให้สูงขึ้นเป็น 15% หรือ 20% ในอนาคต
กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีสก็อต เบสเซนต์ ให้ความเห็นว่าภาษีเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาการค้ากับแต่ละประเทศ และไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องร้ายแรง หากต้องมีการใช้ภาษีชั่วคราวระยะสั้นเพื่อกระตุ้นให้ประเทศคู่ค้ายอมเปิดโต๊ะเจรจาอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ดี มีบางประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีล่วงหน้าแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าทรัมป์พร้อมยืดหยุ่น หากได้รับข้อเสนอที่ตรงใจ
มาตรการภาษีใหม่นี้ถูกมองว่ามีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการเจรจาทางการค้า และเพื่อเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเข้าสหรัฐฯ แม้ความจริงแล้ว ผู้นำเข้าในอเมริกาเป็นผู้ที่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีโดยตรงก็ตาม
การเดินหน้ากำหนดอัตราภาษีนำเข้าในระดับสูงครั้งใหม่นี้ของประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบพลังต่อรองของสหรัฐฯ บนเวทีการค้าโลก แต่ยังสะท้อนถึงแนวทางเศรษฐกิจแบบ “อเมริกาต้องมาก่อน” ที่ทรัมป์ยึดมั่นมาโดยตลอด ท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกว่า อาจกระทบทั้งห่วงโซ่การค้าและผู้บริโภคในประเทศเอง