ทักษะ 'ความฉลาดทางอารมณ์' ยาต้านโรคระบาดความเหงาของวัยทำงาน
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ความเหงา ได้ขยับจากปัญหาทางใจธรรมดา ไปสู่ระดับวิกฤติที่หลายประเทศถึงกับขนานนามว่าเป็น “โรคระบาดเงียบ” ของสังคมยุคใหม่ ข้อมูลจากรายงานของ The surgeon general’s report ชี้ว่า คนรุ่นใหม่มีเวลาพบปะเพื่อนน้อยลงกว่า 70% เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน อีกทั้ง American Perspectives Survey รายงานว่า กว่า 12% ของผู้คนในสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่มีเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว ขณะเดียวกัน เวลาตื่นนอนของคนทั่วไปกว่า 80% มักถูกใช้ไปกับการเสพข้อมูลผ่านหน้าจอ แทนการพูดคุยหรือเชื่อมโยงกับคนรอบตัว
แม้โรคโควิด-19 จะซ้ำเติมให้สถานการณ์แย่ลง แต่ต้นตอที่ลึกกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต เทคโนโลยี และโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนกลายเป็นแบบ “กดไลก์แล้วไถผ่าน” มากกว่าจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกันจริงๆ
..ที่น่าสนใจคือ โรคระบาดความเหงายังพอมีทางแก้ที่เริ่มต้นง่ายๆ จากตัวเราเอง นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมต่างชี้ว่า “ความฉลาดทางอารมณ์” (Emotional Intelligence) อาจเป็นคำตอบสำคัญในการเชื่อมโยงมนุษย์กลับเข้าหากันอีกครั้ง โดยไม่ต้องพึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่โต หรือรื้อระบบชีวิตทั้งหมด
เควิน ครูส (Kevin Kruse) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ LEADx บริษัทแพลตฟอร์มและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำ และเป็นนักเขียนหนังสือขายดีติดอันดับนิวยอร์กไทมส์ (Emotional Intelligence: 52 Strategies) เห็นด้วยกับข้อมูลข้างต้น พร้อมมีคำแนะนำผ่าน Forbes ถึงวิธีในการฝึกฝนทักษะความฉลาดทางอารมณ์ 3 ข้อ เพื่อให้ผู้คนสร้างสายใยสัมพันธ์ทางสังคม ให้กลับมาเชื่อมโยงกันได้อีกครั้ง ดังนี้
ความสัมพันธ์ทางเดียว รู้สึกอิ่มใจปลอมๆ ต้องระวัง!
หนึ่งในตัวการใหญ่ของความเหงาของคนรุ่นใหม่ก็คือ "ความสัมพันธ์ทางเดียว" (Parasocial Relationship) ซึ่งหมายถึง การที่เรารู้สึกผูกพันกับใครบางคนบนโลกออนไลน์ ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักเราด้วยซ้ำ เช่น ศิลปิน ดารา อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูเบอร์ หรือติ๊กตอกเกอร์ชื่อดังบนโซเชียล ที่เราติดตามเป็นประจำ
เรารู้ว่าเขาชอบกินอะไร ใช้เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าแบรนด์ไหน ทำอะไรในแต่ละวัน แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียง “ภาพที่เขาเลือกให้เราเห็น” ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในโลกความจริง มีผลสำรวจหนึ่งชี้ว่าคนเสพสื่อโซเชียล มักตอบสนองโพสต์ที่มีเซลฟี่จากบุคคลชื่อดังมากกว่าโพสต์ทั่วไปถึง 38% และผู้บริโภค 40% ยอมรับว่า พวกเขาเลือกซื้อสินค้าตามคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์คนโปรด
แล้วทำไมคนเราถึงอินกับความสัมพันธ์แบบนี้? งานวิจัยพบว่า ความเหงากระตุ้นสมองในบริเวณเดียวกับความหิว ดังที่ แอน ทรัฟตัน (Anne Trafton) นักข่าวของ MIT News เขียนไว้ว่า “หลังจากอยู่ตัวคนเดียวทั้งวัน การเห็นภาพคนอื่นสนุกด้วยกัน จะไปกระตุ้นสมองในจุดเดียวกับตอนที่คนหิวจัดที่มองเห็นภาพพาสต้าโปะชีสเยิ้มๆ”
ครูส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า ความสัมพันธ์ทางเดียวเปรียบเสมือน "โดนัทของอารมณ์" มันให้ความรู้สึกอิ่มแบบปลอมๆ โดยไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แปลว่าความสัมพันธ์แบบนี้อาจให้ความรู้สึกดีแค่ชั่วคราวเท่านั้น เขาแนะนำว่า โดนัทของอารมณ์เหล่านี้ไร้คุณค่าทางอารมณ์ในระยะยาว จึงควรบริโภคพอประมาณ ไม่ควรใช้ทดแทนความสัมพันธ์ในชีวิตจริง
"เราไม่ควรกินโดนัททุกวัน และไม่ควรฝากความผูกพันทั้งหมดไว้กับหน้าจอ นี่คือเหตุผลที่ผมค่อยๆ ลดเวลาเล่นโซเชียลลงเช่นกัน เพราะรู้ดีว่ามันคือการเติมเต็มที่หลอกตัวเอง" เขาย้ำ
ฝึกรับมือกับความอึดอัดระยะสั้น กล้าออกจาก Comfort Zone
หนึ่งในหลักสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์คือ การแยกให้ออกว่าอะไรคืออารมณ์เชิงลบระยะสั้น ซึ่งเป็นเพียงผลจากการก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Comfort Zone) ของตัวเอง ไม่ใช่สัญญาณว่าคุณควรหยุดทำสิ่งนั้น
ในหนังสือ The War of Art ของ Steven Pressfield เขายกตัวอย่างจากรายการ Inside the Actors Studio ที่ผู้ดำเนินรายการถามนักแสดงหลายคนว่า ทำไมถึงเลือกรับบทยากๆ คำตอบส่วนใหญ่กลับกลายเป็นว่า “เพราะฉันกลัวมัน” ซึ่งความกลัวในที่นี้ เป็นความกลัวในทางที่ดี และเป็น “ตัวชี้วัด” ว่าเราควรทำมัน เพราะมันคือโอกาสเติบโตทางอาชีพที่แท้จริง
การสร้างความสัมพันธ์ก็เช่นกัน มันอาจทำให้คุณรู้สึกกระอักกระอ่วน เครียด หรือวิตกในช่วงแรกๆ (เหมือนตอนออกไปวิ่งครั้งแรก ทั้งเหนื่อย หายใจไม่ทัน และปวดขาไปหมด) แต่เมื่อคุณผ่านความไม่สบายใจระยะสั้นไปได้ คุณจะเริ่มแข็งแรงขึ้น ทั้งในแง่ร่างกายและความสัมพันธ์
ฝึก “ศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน” ให้เป็นนิสัย ภูมิคุ้มกันความเหงา
ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 มีหมอคนหนึ่งสังเกตเห็นว่า เมือง Roseto รัฐเพนซิลเวเนียของชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองรอบข้างถึง 50% ทั้งที่คนในเมืองนั้นสูบบุหรี่ กินของทอด และทำงานในเหมืองหินซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นพิษ
ผลวิจัยสรุปว่า สิ่งที่ปกป้องพวกเขาไม่ใช่อาหารหรือสุขภาพกาย แต่คือ “สายสัมพันธ์ในชุมชน” ซึ่งมีความแน่นแฟ้นสูง ทั้งจากการที่บ้านตั้งติดกัน มีการพูดคุยพบปะกันเสมอ และไม่ยึดติดกับการแข่งขันทางสังคม ปรากฏการณ์นี้มีชื่อว่า Roseto Effect แสดงให้เห็นว่า “ความสัมพันธ์” อาจปกป้องสุขภาพได้ไม่แพ้การออกกำลังกายหรือกินคลีน
น่าเสียดายที่เมื่อเวลาผ่านไป เมืองนี้ค่อยๆ กลมกลืนกับวิถีแบบอเมริกัน กระแสสังคมเริ่มเปลี่ยน คนเริ่มแยกตัวมากขึ้น และสุดท้ายอัตราการเสียชีวิตก็พุ่งขึ้นจนเทียบเท่ากับเมืองทั่วไป
แต่นี่แหละคือเหตุผลที่เราควรฝึก “ศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน” (Art of the Hang) เช่น การพูดคุยกับเพื่อนบ้าน การนัดเพื่อนมานั่งเล่นคุยกัน แม้ไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ หรือแม้แต่การแวะเวียนไปที่ทำงานหลังจากเกษียณ (แทนที่จะอยู่บ้านเฉยๆ)
ดาราดังอย่าง Tom Hanks เคยพูดถึงสิ่งนี้ว่า การอยู่ร่วมกับผู้คนคือการ “เรียนรู้ที่จะมองเห็นเสน่ห์ 95% ของคนรอบตัว และรู้จักรับมือกับอีก 5% ที่อาจไม่น่ารักเท่าไหร่” ซึ่งสุดท้ายก็ยังดีกว่านั่งอยู่คนเดียวในห้อง โดยไม่มีแม้แต่ความคิดอะไรในหัว”
อย่างไรก็ตาม ความฉลาดทางอารมณ์อาจไม่ใช่เวทมนตร์ที่แก้ความเหงาได้ทันทีทันใด แต่คือเครื่องมือที่มนุษย์สามารถใช้ได้จริง โดยไม่ต้องเปลี่ยนชีวิตทั้งหมด เพียงแค่ “กล้าที่จะเริ่มก้าวแรก” และใส่ใจคนรอบตัวในแบบเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน แค่นี้คุณก็มียาต้านโรคระบาดแห่งความเหงาได้แล้ว
อ้างอิง: Forbes, MIT News, PBS News, Harvard.edu, The Roseto effect