“บลูมเบิร์ก” ฟันธงภาษีทรัมป์ วิกฤตการค้าโลก หวั่นกด GDP สหรัฐทรุด 1.8%
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (1 ส.ค. 68) Bloomberg Economics เปิดเผยว่ามาตรการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ในช่วงระหว่าง 10% ถึง 41% ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงกระตุ้นเงินเฟ้อและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก
โดยในระดับโลกนั้นการจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอาจกระทบต่ออุปสงค์ของประเทศคู่ค้าต่างๆ และสร้างความเสี่ยงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและระดับราคาสินค้า ขณะที่บางประเทศได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะจีนที่ยังต้องเผชิญภาษีหลายรายการ รวมถึงภาษี 20% ที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล (fentanyl) และสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเผชิญภาษีตอบโต้สูงถึง 39% มากกว่าระดับที่เคยประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568
มาเอวา คูแซง (Maeva Cousin) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์การค้าของ Bloomberg Economics ประเมินว่า อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในปี 2567 เป็น 15.2% ซึ่งอาจส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ หดตัวลง 1.8% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.1% ภายในระยะเวลา 2-3 ปี
ทั้งนี้ จากรายงานระบุว่าผลกระทบโดยรวมยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถของภาคธุรกิจในการดูดซับต้นทุนผ่านกำไรและระดับที่ต้นทุนจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค ขณะที่ สมมุติฐานในแบบจำลองเศรษฐกิจยังตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่ามาตรการภาษีจะถูกบังคับใช้ตามที่ประกาศ และข้อตกลงภาษีนำเข้ารถยนต์กับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะยังมีผลบังคับใช้
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่บางประเทศจะสามารถเจรจาเพื่อผ่อนปรนอัตราภาษีได้ เนื่องจากมาตรการใหม่จะมีผลในอีก 7 วันข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในการต่อรองเงื่อนไขต่างๆ ก่อนที่การเก็บภาษีจะมีผลจริง