ต่างชาติแห่ซื้อ “หุ้นเอเชีย” ติดต่อกันเดือนที่ 3 ไต้หวันพุ่งสูงสุดในรอบ 17 ปี
ต่างชาติแห่ซื้อ "หุ้นเอเชีย" ติดต่อกันเดือนที่ 3 นำโดยไต้หวันพุ่งสูงสุดในรอบ 17 ปีและเกาหลีใต้ที่ได้อานิสงส์จากกระแส AI และความเชื่อมั่นทางการค้า ขณะที่ไทยพลิกฟื้นจากภาวะขายสุทธิต่อเนื่อง
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 16.22 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่านักลงทุนต่างชาติแห่เข้าลงทุนในหุ้นเอเชียต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนกรกฎาคม
โดยเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไต้หวันแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบสองทศวรรษ และประเทศไทยสามารถยุติสถิติการไหลออกติดต่อกันนาน 9 เดือนได้สำเร็จ โดยมีแรงหนุนจากแนวโน้มการเติบโตและการลงทุนด้าน AI ขณะที่ความกังวลเรื่องการค้าเริ่มผ่อนคลายลง
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากหลายประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้ดีขึ้น ลดความผันผวนจากประเด็นภาษีและสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงิน
นักลงทุนต่างชาติยังคงแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่องในไต้หวันและเกาหลีใต้ โดยในเดือนกรกฎาคมมีเงินไหลเข้าสู่ไต้หวัน 7.78 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2551 ขณะที่เกาหลีใต้รับเม็ดเงิน 4.52 พันล้านดอลลาร์ มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน จากข้อมูลของ LSEG
ดัชนี MSCI Asia (ไม่รวมญี่ปุ่น) เพิ่มขึ้น 2% ในเดือนกรกฎาคม ถือเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันที่ดัชนีปิดในแดนบวก ขณะที่ดัชนีในไทเปและโซลต่างก็เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ทั้งไต้หวันและเกาหลีใต้เป็นจุดหมายหลักของเงินทุนต่างชาติในภูมิภาค โดยรับเงินรวมกว่า 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อานิสงส์จากกระแสการลงทุนใน AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่งผลบวกต่อภาคเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ
ในกรณีของเกาหลีใต้ นักลงทุนได้รับแรงจูงใจจากการปฏิรูปนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่แข็งแกร่ง แม้ในช่วงหลังจะเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการปฏิรูปนโยบายภาษี
ในฝั่งประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยมูลค่า 499 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือเป็นเดือนแรกที่เงินไหลเข้าสู่ตลาดไทยนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำหลังถูกขายออกมาอย่างหนักก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจมหภาคที่ท้าทาย และค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปซึ่งส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของการส่งออก ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการสะสมสถานะในหุ้นไทย
ดัชนี SET ของไทยพุ่งขึ้น 14% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 แต่ยังไม่สามารถลบขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หมด โดยดัชนียังติดลบ 10% เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปี และถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ผลงานแย่ที่สุดในภูมิภาค
เคนเน็ธ ถัง ผู้จัดการพอร์ตอาวุโสจาก Nikko Asset Management ระบุว่า “เรายังมีมุมมองเชิงระวังและน้ำหนักการลงทุนต่ำต่อประเทศไทย เนื่องจากยังอยู่ในสถานะที่เปราะบาง ทั้งจากหนี้ครัวเรือนที่สูง ขีดจำกัดการใช้จ่ายภาครัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัจจัยลบจากภายนอก เช่น ความขัดแย้งกับกัมพูชา …หากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ก็จะเปิดทางสู่การฟื้นตัวอย่างชัดเจน”
ด้านตลาดหุ้นอินเดียกลับมีเงินไหลออกอย่างหนักในเดือนกรกฎาคมกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และเป็นการหยุดสถิติซื้อสุทธิที่ต่อเนื่องมา 3 เดือน
ในขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็มีเงินไหลออกสุทธิมูลค่า 570 ล้านดอลลาร์ และ 29 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ ขณะที่เวียดนามกลับได้รับเงินไหลเข้าสุทธิ 326 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตแข็งแกร่งหลังจากที่เวียดนามสามารถเจรจาข้อตกลงภาษีที่ดีขึ้นกับสหรัฐได้สำเร็จ
อ้างอิง : reuters.com