Michael Saylor ส่งสัญญาณ Strategy เตรียมซื้อ Bitcoin เพิ่ม หลังราคาย่อตัว

Michael Saylor ส่งสัญญาณ Strategy เตรียมซื้อ Bitcoin เพิ่ม หลังราคาย่อตัว

Michael Saylor ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Strategy ออกมาแย้มว่าบริษัทเตรียมเข้าซื้อ Bitcoin (BTC) เพิ่ม หลังจากราคาของ BTC ร่วงลงเล็กน้อยจากจุดสูงสุดตลอดกาล (ATH) ที่ 124,000 ดอลลาร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

การถือครอง Bitcoin ของ Strategy

• ล่าสุด Strategy เพิ่งซื้อเพิ่ม 155 BTC มูลค่า 18 ล้านดอลลาร์ ทำให้ปัจจุบันถือครองรวม 628,946 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 74,200 ล้านดอลลาร์

ตามข้อมูลจาก SaylorTracker บริษัทมีกำไรที่ยังไม่ขายกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นมากกว่า 60% ของเงินลงทุนทั้งหมด

Strategy กลายเป็นตัวแทนการลงทุน Bitcoin

Strategy ได้ชื่อว่าเป็น “Proxy” ของ Bitcoin สำหรับกองทุนสถาบันที่ไม่สามารถถือครอง BTC ได้โดยตรง รวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่ไม่อยากเก็บเหรียญเอง
บริษัทนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกโมเดล Corporate Treasury ที่เก็บ Bitcoin เป็นทุนสำรอง และสร้างแรงบันดาลใจให้หลายบริษัทเลียนแบบ แม้แต่บริษัทที่ถือครอง Altcoin

Saylor ไม่กังวลคู่แข่งฝั่ง Altcoin

Saylor กล่าวย้ำว่า “เงินทุนส่วนใหญ่ยังคงไหลเข้าสู่ Bitcoin” แม้จะมีบริษัทใหม่ ๆ ที่สร้างกระแส Altcoin Treasury เพิ่มขึ้น
เขาเผยว่ามีบริษัทที่ใช้กลยุทธ์เก็บ Bitcoin เพิ่มขึ้นจาก 60 แห่ง เป็น 160 แห่ง ในช่วงเพียง 6 เดือน

การซื้อ Bitcoin หลังการเมืองสหรัฐเปลี่ยนขั้ว

หลังจาก Donald Trump ชนะการเลือกตั้งปลายปี 2024 Strategy ได้เร่งซื้อ BTC เพิ่มขึ้นกว่า 376,000 BTC ในเวลาเพียง 9 เดือน มากกว่าที่บริษัทเคยสะสมมาตลอด 4 ปีแรก
ผลลัพธ์คือหุ้นของ Strategy พุ่งขึ้นเกือบ 2,600% ใน 5 ปี กลายเป็นที่นิยมทั้งในหมู่กองทุนสถาบัน นักลงทุนคริปโต และผู้ซื้อหุ้นรายย่อย

ครองแชมป์บริษัทถือ Bitcoin ใหญ่ที่สุดในโลก

ปัจจุบัน Strategy ครองตำแหน่งบริษัทที่ถือ Bitcoin มากที่สุดในโลก ด้วยจำนวน 628,946 BTC มากกว่าบริษัทติด Top 10 รวมกันทั้งหมด แสดงถึงความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่ยากจะโค่น

‍ อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/michael-saylor-strategy-buy-bitcoin-dip-2025

วงจร 4 ปี Bitcoin ยังไม่ตาย? นักวิเคราะห์ชี้อีก 100 วันอาจถึงจุดพีค

ในปี 2025 หนึ่งในประเด็นที่ถูกถกเถียงในตลาดคริปโตคือ “วงจร 4 ปีของ Bitcoin (Four-Year Cycle)” ยังคงมีผลจริงหรือไม่ หลังจากที่ราคา Bitcoin ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา บางฝ่ายเชื่อว่าการมาของนักลงทุนสถาบันและกองทุน ETF ได้เปลี่ยนโครงสร้างตลาดจนทำให้ทฤษฎีนี้อาจไม่เป็นจริงอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์รายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) ได้หยิบคำถามสำคัญขึ้นมา — หากวงจร 4 ปีของ Bitcoin ยังทำงานอยู่จริง เราอาจกำลังเข้าสู่ช่วง 100 วันสุดท้ายก่อนแตะจุดสูงสุดของรอบนี้

วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ Bitcoin

ข้อมูลจากดัชนี Bitcoin Index Performance Since Cycle Low แสดงให้เห็นว่า:

• รอบปี 2015–2018 ราคาขึ้นกว่า 110 เท่า ใช้เวลา 1,068 วันถึงจุดสูงสุด
• รอบปี 2018–2022 ราคาขึ้นประมาณ 21 เท่า ใช้เวลา 1,060 วันถึงจุดพีค
• รอบปัจจุบัน (2022–2025) ราคาขึ้นมาแล้วกว่า 7.3 เท่า หลังผ่านไป 997 วัน

หากทฤษฎีนี้ยังเป็นจริง หมายความว่า Bitcoin อาจมีเวลาอีกราว 100 วันก่อนจะถึงจุดสูงสุดรอบใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

โอกาสและความเสี่ยง

ขณะนี้ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 117,625 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ในรอบ 24 ชั่วโมง หาก BTC ยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องเกินกว่ากรอบเวลาวงจรเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่วงจร 4 ปีถูกทำลายลง และเราอาจได้เห็นรอบกระทิงที่ยาวนานขึ้นหรือขาลงที่สั้นลงกว่าที่เคย

อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงใกล้ถึง “จุดพีค” เพราะแรงขายทำกำไรอาจกลับมากดดันราคาได้ทุกเมื่อ

อ้างอิง : bitcoinist.com

ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/bitcoin-four-year-cycle-100-days-peak

Mike Novogratz เตือน Bitcoin $1 ล้านดอลล่าร์ปี 2026 คือสัญญาณเศรษฐกิจพัง ไม่ใช่ชัยชนะ

Mike Novogratz ซีอีโอของ Galaxy Digital ออกมาเตือนว่านักลงทุนไม่ควรรีบดีใจกับการคาดการณ์ว่า Bitcoin (BTC) จะขึ้นไปถึง 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 เพราะแท้จริงแล้วนั่นจะไม่ใช่สัญญาณแห่งชัยชนะ แต่คือภาพสะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ

“ถ้า Bitcoin ขึ้นไปถึง $1M ได้ในปีหน้า แปลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสุด ๆ” Novogratz กล่าวในรายการ Coin Stories Podcast

Bitcoin เป็นที่พักพิงยามเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเสมอไป

Novogratz อธิบายว่า เขาไม่อยากเห็นราคา BTC พุ่งขึ้นแรงเพราะสาเหตุจากการล่มสลายของดอลลาร์หรือหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงจนควบคุมไม่ได้

เขากล่าวว่า “ผมยอมเห็น Bitcoin ราคาต่ำกว่านี้ แต่สหรัฐฯ มีเสถียรภาพ มากกว่าที่จะเห็น BTC $1M แล้วประเทศเข้าสู่ความโกลาหล”

ในอดีต เรามักเห็นว่าทุกครั้งที่ค่าเงินประจำชาติอ่อนค่า นักลงทุนจำนวนมากจะหนีเข้าสู่ สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) และ Bitcoin มักถูกมองว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” ในช่วงเวลาดังกล่าว

นักวิเคราะห์บางรายยังมองบวกกับ $1M Bitcoin

แม้ Novogratz จะมองว่าราคา $1M เป็น “สัญญาณอันตราย” แต่ยังมีนักลงทุนชื่อดังที่เชื่อว่า BTC จะไปถึงระดับนั้นได้ เช่น

• Arthur Hayes อดีตผู้ก่อตั้ง BitMEX เคยคาดการณ์ว่า Bitcoin จะขึ้นไป $750,000–$1,000,000 ภายในปี 2026
• Samson Mow ผู้ก่อตั้ง Jan3 เคยบอกว่า BTC อาจไปถึง $1M ได้ “อาจจะปีนี้ หรือปีหน้าเลยด้วยซ้ำ”

กังวล Bitcoin Treasury กลายเป็นฟองสบู่

อีกหนึ่งประเด็นที่ Novogratz กังวลคือการที่บริษัทมหาชนจำนวนมากเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ ถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง (Treasury Model) แบบเดียวกับ Strategy (อดีต MicroStrategy)

เขาเผยว่า Galaxy Digital ได้รับ “โทรศัพท์ 5 สายต่อสัปดาห์” จากบริษัทใหม่ที่ต้องการนำ Bitcoin ไปใส่ในงบดุล ซึ่งอาจสะท้อนว่ากำลังเกิด ความร้อนแรงเกินไปจนคล้ายฟองสบู่

“เมื่อถึงจุดที่แม้แต่แท็กซี่ถามเรื่องบริษัทที่ถือ Bitcoin นั่นแหละคือสัญญาณของฟองสบู่” Novogratz กล่าว

สรุป

การที่ Bitcoin อาจขึ้นถึง 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 ไม่ได้หมายความว่าตลาดคริปโตจะชนะเสมอไป หากแต่เป็นสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ อาจกำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง

แม้จะมีนักวิเคราะห์บางรายที่ยังคงเชื่อมั่นว่า BTC จะพุ่งไปถึงจุดนั้นได้ แต่เสียงเตือนจาก Mike Novogratz ก็นับเป็นอีกมุมมองที่นักลงทุนควรนำไปพิจารณา ก่อนจะทุ่มเงินไปกับความหวัง “Bitcoin ล้านดอลลาร์”

อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/bitcoin-1m-2026-warning-mike-novogratz