สำรวจ ‘ไพ่’ ในมืออินเดีย สู้กลับแรงบีบภาษี ‘ทรัมป์’
คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
แม้อินเดียจะอยู่ในรายชื่อคู่ค้าสำคัญที่สหรัฐอเมริกาต้องการ “ปิดดีล” การค้าให้ได้โดยเร็ว และเป็นรายชื่อที่ฝ่ายสหรัฐมักจะแย้ม ๆ ออกมาค่อนข้างบ่อยว่ามีแนวโน้มจะบรรลุเร็ว ๆ นี้ ในความพยายามที่จะทำให้เห็นว่าสหรัฐประสบความสำเร็จในการทำข้อตกลงกับประเทศคู่ค้าหลัก ๆ โดยล่าสุดปิดดีลกับทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหภาพยุโรป ไปแล้วก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม
แต่กลายเป็นว่าไม่มีอินเดียอยู่ในรายชื่อลอตล่าสุดนี้แต่อย่างใด ซึ่งทำให้ในที่สุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมเรียกเก็บภาษีต่างตอบโต้ขั้นต่ำจากอินเดีย 25% พร้อมกับ “ค่าปรับ” ที่ยังไม่มีการระบุแน่ชัด โดยให้เหตุผลว่าอินเดียทำการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ มีการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ยังไม่รวมมาตรการกีดกันอื่นที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งยังซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซียที่กำลังรุกรานยูเครน
จากนั้นไม่กี่วันต่อมา ทรัมป์ขู่อีกรอบว่าจะเก็บภาษีจากอินเดียเพิ่มเติมจากประกาศก่อนหน้านี้อีก เพราะยังไม่เลิกซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และล่าสุดเมื่อ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ก็ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% รวมเป็น 50%
นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้หลายประเทศจะเร่งรีบทำข้อตกลงกับสหรัฐก่อนเส้นตาย แต่อินเดียประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกกลับ “ไม่เร่งรีบ” และดูเหมือนไม่สะดุ้งสะเทือนคำขู่ของทรัมป์ ก็เพราะอินเดียนั้นต่อต้านไม่ยอมเปิดตลาดเพิ่มเติมให้กับสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เพื่อปกป้องเกษตรกรอินเดียซึ่งเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน อินเดียก็มี “ไพ่” อยู่บ้างเป็นอาวุธในการเจรจากับสหรัฐด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่ง
คาร์ลอส คาซาโนวา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของยูบีพี ชี้ว่าสาเหตุที่อินเดีย “ไม่ถอย” ก็เพราะมูลค่าการส่งออกของอินเดียไปสหรัฐมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยในเศรษฐกิจโดยรวมของอินเดีย ขณะเดียวกัน ก็ยอมไม่ได้ที่จะเปิดตลาดเกษตรให้กับบริษัทสหรัฐ ทั้งนี้ ในปี 2024 สหรัฐนำเข้าสินค้าจากอินเดีย 8.74 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนอินเดียนำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 3.899 หมื่นล้านดอลลาร์ หรืออินเดียเป็นฝ่ายเกินดุลการค้านั่นเอง
ปิยุส โกยัล รัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียระบุว่า อินเดียจะไม่เจรจาข้อตกลงกับสหรัฐตามเส้นตาย เพราะผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน เราจะทำให้แน่ใจว่าเกษตรกรของอินเดียได้รับการปกป้อง ตนมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าภายในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนปีนี้จะได้ข้อตกลงที่ดี
ฮาร์ชา วาร์ธัน อการ์วัล ประธานสมาพันธ์หอการค้าอินเดีย ระบุว่าภาษีของสหรัฐจะกระทบการส่งออกของอินเดียแน่นอน แต่เราหวังว่าการเรียกเก็บในอัตราสูงเช่นนี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว และเชื่อว่าอีกไม่นานข้อตกลงการค้าถาวรระหว่างสองประเทศก็จะได้ข้อสรุป
นักวิเคราะห์อีกหลายคนเชื่อว่ามีเหตุผลดี ๆ สำหรับสหรัฐที่จะยอมทำข้อตกลงกับอินเดียโดยไม่ชักช้า เพราะในทางยุทธศาสตร์แล้ว สหรัฐไม่ได้ต้องการเหินห่างจากอินเดียมากนัก เพราะอินเดียเป็นพันธมิตรแข็งแกร่งที่สามารถช่วย “กำหนดภูมิทัศน์” อินโด-แปซิฟิก และยังเป็นตัว “ป้องกันความเสี่ยง” ในเชิงกลยุทธ์ในยามที่สหรัฐมุ่งเป้าเล่นงานและสกัดกั้นการผงาดขึ้นของจีน อย่างที่จะเห็นว่าเป้าหมายใหญ่อย่างหนึ่งของทรัมป์ก็คือ นำภาคการผลิตออกจากจีน และกลับเข้ามายังสหรัฐ ดังนั้น อินเดียจึงเป็น “ทางเลือก” ที่มีศักยภาพแทนจีนในการผลิตระดับโลก
ในเมื่อสหรัฐกำหนดจุดยืนว่าจะกีดกันไม่ให้จีนสยายปีกมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานโลก การย้ายภาคผลิตไปอินเดียจึงกลายเป็นการ “ประนีประนอม” โดยธรรมชาติ และยังช่วยส่งเสริมการย้ายฐานกลับไปสหรัฐของบริษัทต่าง ๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น สหรัฐสามารถควบคุมห่วงโซ่การผลิตระดับสูงได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและแรงงานทักษะสูง ซึ่งอินเดียสามารถตอบสนองด้านแรงงานราคาถูกให้กับสหรัฐได้
ไพ่อีกใบหนึ่งของอินเดียในการต่อรองกับสหรัฐก็คือ การที่อินเดียเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ BRICS หรือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่เติบโตเร็ว ซึ่งจีนเป็นสมาชิกอยู่ด้วย บทบาทของอินเดียถูกมองว่าสามารถคานอิทธิพลจีนในกลุ่มนี้ได้ จึงทำให้อินเดียเผชิญกับแรงกดดันจากจีนที่เห็นว่าอินเดียกำลังเป็น “คู่แข่ง” ด้านการนำภายในกลุ่ม ดังนั้น จึงดูเหมือนว่าอินเดียจะ “เป็นประโยชน์” สำหรับสหรัฐในการถ่วงดุลจีน
กลุ่ม BRICS ถูกมองว่าจัดตั้งขึ้นมาเพื่อ “ท้าทาย” สถาบันเศรษฐกิจโลกที่มีตะวันตกเป็นผู้นำ รวมทั้งพยายามลดทอนอิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทรัมป์ได้แสดงออกหลายครั้งถึงความไม่พอใจต่อกลุ่มนี้ อย่างเช่นเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งมีการประชุมกลุ่ม BRICS ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีประเทศใดก็ตามในกลุ่มนี้ที่สนับสนุนการต่อต้านนโยบายของอเมริกา จะถูกเก็บภาษีต่างตอบโต้เพิ่มอีก 10% จากที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน
อย่างไรก็ตาม อินเดียก็มี “แผนสำรอง” เอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยในขณะที่เจรจากับสหรัฐก็เร่งทำข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มกลยุทธ์ “เข้ากับหลายขั้ว” การที่อินเดียทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับสหราชอาณาจักร เป็นการ “ส่งเสียง” ไปยังประเทศมหาอำนาจตะวันตกทั้งหมด ว่าอินเดียพร้อมจะทำการค้าบนเงื่อนไขของตัวเอง
นอกจากข้อตกลงกับสหราชอาณาจักรแล้ว อินเดียก็เดินหน้าเจรจากับมัลดีฟส์ สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่งสายสัมพันธ์กับสหรัฐในฐานะหุ้นส่วนรายใหญ่ การกระจายความเสี่ยงเช่นนี้ช่วยเพิ่มแต้มต่อให้กับอินเดีย ทั้งในแง่การเจรจาบนโต๊ะและเอาตัวรอดจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากภาษีระดับสูงของสหรัฐอเมริกาที่สร้างแรงกระแทกไปทั่วโลก
ลีลาของอินเดียไม่ใช่เพียงแค่ “แท็กติก” ป้องกันความเสี่ยง แต่สะท้อนถึงมุมมองโลกที่กว้างขึ้นของอินเดีย เป็นการบอกว่าอินเดียกำลังเป็น “ดาวรุ่งที่มุ่งเป้าพหุภาคี” แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็น “แชมเปี้ยน” แห่งโลกใต้ หรือประเทศกำลังพัฒนา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สำรวจ ‘ไพ่’ ในมืออินเดีย สู้กลับแรงบีบภาษี ‘ทรัมป์’
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net