BPP เร่งเครื่องพลังงานโลก! เดินเกมซื้อกิจการดันกำลังผลิต 5,000 เมกกะวัตต์ปี 73
ตลอดระยะเวลา 29 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท "บ้านปู เพาเวอร์" ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครอบคลุมประเทศไทย ลาว จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา BPP มุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานต่อเนื่อง
"อิศรา นิโรภาส" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง บริษัทตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
โดยมุ่งเน้นการลงทุนทั้งในประเทศสหรัฐฯ อินโดนีเซีย จีน รวมถึงประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะเห็นการลงทุนโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Utility-scale Battery Energy Storage System: BESS)เพิ่มเติมในญี่ปุ่น
ขณะที่การลงทุนในสหรัฐฯปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่มเติม จากเดิมที่บริษัทมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัสอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมที่บริษัทมีอยู่ รวมถึงมองว่าโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วเข้ามาในพอร์ตมากขึ้น แต่ยังไม่มีความชัดเจนเร็วๆนี้เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯที่จะขายมีค่อนข้างน้อยและโครงการที่กำลังพัฒนาใหม่ๆมีการหยุดชะงักการก่อสร้าง
"บริษัทยังคงมองหาดีล M&A โรงไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซียและประเทศจีนเพิ่มเติมอีกด้วย โดยมองว่าการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในประเทศอินโดนีเซียมีความน่าสนใจ ส่วนในประเทศจีนบริษัทสนใจลงทุน Hydrogen"
แผนการลงทุนปี 2568 นี้คาดว่าจะใช้งบประมาณ 200-400 ล้านดอลลาร์ โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้งบลงทุนไปแล้ว 20 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการ(BESS)ในช่วงที่ผ่านมา และเงินลงทุนที่เหลือเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการเข้าซื้อกิจการ(M&A)ของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้
เป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากก๊าซธรรมชาติถึงปี 2573 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าเดิมที่วาวไว้ราว 1,500 เมกะวัตต์ (MW) โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 3,600 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทยังคงงบลงทุนในปี 2568 – 2573 ไว้ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 1.8 เท่าภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ EBITDA ในปี 2565-2566