GUNKUL เป้ารายได้ 3.5 หมื่นลบ ดันกำลังผลิตแตะ 2,000 MW
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 26 สิงหาคม 2568 เวลา 21.46 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - GUNKUL เผยไตรมาส 3/68 โตต่อ โครงการลมทิศทางดี คาดปีนี้รายได้แตะ 1 หมื่นลบ. โต 10–15% เผยความร่วมมือกับ GULF ผลักดันโอกาสเติบโต พร้อมมองหา New S-Curve ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์–ซัพพลายพลังงาน เสริมจุดแข็งระบบไฟฟ้าไทยสู่ Hub ดาต้าเซ็นเตอร์ภูมิภาค เดินหน้าออกหุ้นกู้–ลงทุนโครงการ EPC มั่นใจแผน 3 ปี (2025–2027) รายได้แตะ 3.5 หมื่นลบ. กำลังการผลิตแตะ 2,000 เมกะวัตต์
นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) หรือ GUNKUL กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2568 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะดีต่อเนื่อง โดยโครงการโรงไฟฟ้าลมยังอยู่ในทิศทางที่ดี อีกทั้งไตรมาส 4/2568 จะบันทึกโครงการก่อสร้างในหลายโครงการ สำหรับปีนี้บริษัทตั้งป้ารายได้กว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 10-15% โดยยังเดินหน้าขยายธรกิจทุกกลุ่ม
ส่วนความร่วมมือกับพันธมิตร อย่าง GULF ถือเป็นการ Restructuring ที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านรูปแบบการร่วมทุน (JV) หรือ Unconsolidated ที่มีโอกาสขยายได้กว่าเป็น 1,000 เมกะวัตต์ และมีโอกาสขยายได้ถึง 3,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2031 ซึ่งปัจจุบันมีโอกาสเข้ามาจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับปีนี้ มีโครงการโรงไฟฟ้าจำนวน 3 โครงการที่ต้องเริ่มจ่ายไฟฟ้า ส่งผลให้ต้องเร่งเดินหน้าการก่อสร้างในช่วงนี้ การ Restructuring จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยให้บริษัทได้ต้นทุนทางการเงินที่ต่อเนื่องแล้ว ยังสามารถรับรู้รายได้จากการก่อสร้างโครงการได้ทันที ดังนั้นการร่วมมือกับ GULF เป็นพันธมิตรยังเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น พร้อมทั้งหนุนรายได้จากงานก่อสร้างเข้าสู่งบการเงินทันที อีกทั้งยังเป็นการ Unlock เปิดทางให้บริษัทสามารถลงทุนในโครงการใหม่ ๆ รวมถึงเข้าประมูลโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งแตกต่างจากการถือหุ้น 100% แต่เพียงฝ่ายเดียวที่อาจจำกัดโอกาสการขยายตัวในระดับกลางถึงใหญ่
สำหรับกลยุทธ์การเติบโต บริษัทเดินหน้าธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าพลังงานสีเขียว (Green Power) ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมแล้ว 1,260 เมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้ 832 เมกะวัตต์ ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว และเตรียมพัฒนา–ก่อสร้างต่อไป ขณะเดียวกัน บริษัทมีโอกาสได้รับโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมจาก เฟส 2.1 หลังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีการอนุมัติโครงการออกมา โดยโครงการที่รอการอนุมัติอยู่ ได้แก่ โครงการพลังงานลม ประมาณ 284 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ กว่า 30 เมกะวัตต์ เมื่อโครงการพลังงานลม 284 เมกะวัตต์เข้าสู่การลงนาม PPA จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,544 เมกะวัตต์ ซึ่งจะหนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงานสีเขียว พร้อมกันนี้ยังมีดีลโครงการโรงไฟฟ้าที่ประเทศฟิลิปปินส์ และยังมีในประเทศ ใต้หวัน เวียนาม ญี่ปุ่นและคาดว่าปีนี้มีโอกาสที่จะเห็นการประกาศดีลออกมา ส่วนเวียดนาม บริษัทคาดว่าจะเห็นข่าวดีในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนภาครัฐของทางเวียดนามก็พยายามผลักดันเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าธุรกิจติดตั้งโซลาร์ ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ขณะนี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมภายใน โดยยกตัวอย่างกรณีครัวเรือนที่มีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 4 บาทต่อหน่วย หากติดตั้งโซลาร์จะช่วยลดค่าไฟฟ้าลงเหลือประมาณ 3 บาทต่อหน่วย ทำให้เห็นการประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ชัดเจนทันทีราว 1 บาทต่อหน่วย อีกทั้งบริษัทยังมีพันธมิตร (partner) ที่สามารถช่วยขยายตลาดและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง จึงมองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตและขยายตลาดได้อีกมากในอนาคต ดังนั้นภาคพลังงานมีการประเมินว่ามีโอกาสที่จะเห็นการใช้พลังงานกว่า 3-4 ล้านล้านบาท ที่เป็นศักยภาพของประเทศไทย ที่ผ่านมาบริษัทมีการดำเนินการผ่านแบรน์ GRoof
ส่วนธุรกิจรับเหมาไฟฟ้า (EPC) บริษัทฯ เตรียมประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (EPC) ก็จะมี โครงการที่จะเปิดประมูลกว่า 66,000 ล้านบาท บริษัทก็เข้าร่วมประมูลหลายโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถสร้างผลงานได้ต่อเนื่องจากปัจจุบันมีงานในมือ4,000 ล้านบาท โดย 50% จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ส่วนที่เหลือรับรู้ในปีถัดๆ ไป
ขณะเดียวกัน บริษัทก็มองหาโอกาส New S-Curve ผ่านการเจรจาลงทุนใน โครงการดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงการเป็นผู้จัดหาพลังงาน (Power Supply) ให้กับกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้โดยตรงคำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคได้หรือไม่ จุดแข็งที่ไทยมีเหนือกว่าหลายประเทศ คือ เสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องขายไฟฟ้าในราคาถูกที่สุด แต่เหมาะสมที่สุด ซึ่งสามารถดึงความมั่นคงนี้มาเป็นจุดขายได้ อีกทั้งยังมีความพร้อมด้าน โครงข่ายไฟเบอร์–5G, แหล่งน้ำ, และ การใช้พลังงานสีเขียว ที่ตอบโจทย์เทรนด์การลงทุนทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้แต่อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของต้นทุนการเงินหรือcost of fund ให้ดีต่อบริษัทที่สุด ประกอบซึ่งมีหุ้นกู้ครบกำหนดอายุเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ 1,400 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมว่าจะมีการออกหุ้นกู้หรือการใช้เงินกู้ ขณะเดียวกันในปีนี้ ก็จะมีหุ้นกู้ครบกำหนดอายุ 2 ชุด คือ ต้นเดือนกรกฎาคม และปลายกรกฎาคม รวมกว่า 2,300 ล้านบาท
ดังนั้นบริษัทมีเป้าหมาย 3 ปี คือปี 2025-2027 เป้าจะมีรายได้กว่า 35,000 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตแตะ 2,000 เมกะวัตต์บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามกรอบกลยุทธ์ 3 ปีที่ตั้งไว้อย่างเป็นระบบ และสร้างความพร้อมในด้านการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ด้วยความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอพลังงานสะอาด
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision