โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

รายงานพิเศษ: ถอดรหัสดีล “Apple-ทรัมป์” คุ้มไหมถ้า iPhone จะเปลี่ยนมา “Made in USA”

efinanceThai

เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

รายงานพิเศษ: ถอดรหัสดีล Apple-ทรัมป์ คุ้มไหมถ้า iPhone จะเปลี่ยนมา Made in USA

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -14 ส.ค. 68 10:22 น.

ย้อนกลับไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่มีผู้บริหารในซิลิคอน วัลเลย์เข้าร่วม เมื่อปี 2011 อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ตั้งคำถามกับสตีฟ จ็อบส์ว่า จะต้องทำอย่างไรถึงจะให้ iPhone ผลิตในสหรัฐฯ ได้? จ็อบส์รู้ดีว่า คำถามของอดีตผู้นำสหรัฐฯ แฝงนัยอะไรไว้ และตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า งานเหล่านั้นจะไม่กลับมาอีกแล้ว

14 ปีต่อมา คำถามนี้กลับมาอีกครั้ง ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประกาศชัดเมื่อช่วงหาเสียงว่าต้องการทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง Make America Great Again เพราะในระยะหลัง สถานะความเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกกำลังถูกสั่นคลอน ทั้งจากภาระหนี้พันธบัตรและการขาดดุลการค้ามหาศาล ขณะที่ชาติคู่แข่งอย่างจีนผงาดมาเทียบชั้นอย่างรวดเร็ว หนทางหนึ่งที่จะทำให้อเมริกากลับมาแข็งแกร่งได้นั้น คือการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ สร้างงานให้ชาวอเมริกัน หารายได้เข้าประเทศ นำไปสู่การระดมขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ล่าสุด ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าชิป 100% เพื่อบีบให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ย้ายฐานการผลิตมาในสหรัฐฯ รวมถึง Apple ซึ่งมีฐานการผลิต iPhone รุ่นเรือธงอยู่ในจีนและบางส่วนในอินเดีย แต่ในเวลาต่อมา ทรัมป์ก็ได้ยกเว้นสำหรับ Apple และบริษัทอื่น ๆ ที่ประกาศอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนในสหรัฐฯ

โดยเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา ทิม คุก ซีอีโอ ของ Apple ได้เข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำเนียบขาว และประกาศแผนลงทุนในโครงการ American Manufacturing Program เพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ รวมกับของเดิมที่ประกาศในเดือนก.พ. อีก 500,000 ล้านดอลลาร์ (และจ้างงานเพิ่มอีก 20,000 คน ในสหรัฐฯ ตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้า) เป็น 600,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรในสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า

ภายใต้ดีลนี้ Apple ให้คำมั่นว่า จะสร้างซัพพลายเชนชิปซิลิคอนที่ครบวงจรในสหรัฐฯ โดยร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ เช่น TSMC ในรัฐแอริโซนา, Samsung ในรัฐเท็กซัส, GlobalFoundries ในรัฐนิวยอร์ก และบริษัทเซมิคอนดักเตอร์อื่น ๆ คาดว่าจะสามารถผลิตชิปได้มากกว่า 19,000 ล้านชิ้นภายในปี 2025 ซึ่งชิปเหล่านี้จะใช้ในหน่วยประมวลผลและหน่วยความจำสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, Mac หรืออุปกรณ์สวมใส่

*** เปิดเกมต่อรอง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ Apple ภายใต้การนำของทิม คุก ประกาศแผนการลงทุนในลักษณะนี้ ย้อนกลับไปในสมัย Trump 1.0 รวมถึงในยุคของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน Apple ก็เคยให้คำมั่นแบบเดียวกัน (เพียงแต่มูลค่าน้อยกว่า)

โดยในปี 2018 ซึ่งทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก Apple ประกาศแผนการลงทุน 350,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และต่อมาในปี 2021 ในยุคของไบเดน Apple ให้คำมั่นจะลงทุนในบ้านเกิด เพิ่มเป็น 430,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งสองครั้ง บริษัทระบุว่า จะสร้างงาน 20,000 ตำแหน่งภายในระยะเวลา 5 ปี

Eileen Burbidge จาก Passion Capital เผยกับสำนักข่าว BBC ว่า การประกาศแผนลงทุนเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในโลกธุรกิจ แต่ที่แน่ ๆ นั่นเป็นสิ่งที่ฟังแล้วรื่นหูสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อตัวบริษัทเอง ที่จริงนั่นคือ การลงทุนในด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) แม้การลงทุนในสหรัฐฯ จะค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับงบประมาณด้าน R&D ที่ Apple ใช้ในการลงทุนทั่วโลกก็ตาม

เธอยังกล่าวว่า "การนำการลงทุนบางส่วนกลับมาที่สหรัฐฯ… เป็นอีกครั้งที่ (Apple) เดินเกมการเมืองได้อย่างชาญฉลาด โดยใช้การประกาศแบบเล่นใหญ่เข้าไว้ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่มีต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

*** ทำไมคำตอบของจ็อบส์ยังเป็นจริงอยู่

หากลองพิจารณาอย่างละเอียด ความฝันที่ทรัมป์ต้องการให้ Apple รวมถึงบิ๊กเทคอื่น ๆ กลับมาเดินสายการผลิตในสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่ง Financial Times ได้วิเคราะห์เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ในบทความที่ชื่อ Why Trump cant build iPhones in the US โดยสามารถสรุปเหตุผลหลัก ๆ 5 ข้อ ดังนี้

1. โครงสร้างซัพพลายเชนที่ซับซ้อนและฝังรากลึก

คำตอบของจ็อบส์ข้างต้น สะท้อนความจริงอันซับซ้อนในโลกการผลิตปัจจุบัน ที่ห่วงโซ่อุปทานและระบบนิเวศทางเทคโนโลยีกระจายออกไปสู่หลายประเทศ การย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังสหรัฐฯ จึงต่างจากการขนของย้ายบ้านไปปลูกที่อื่นอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นการรื้อทั้งระบบ ที่ประกอบกันเป็นระบบซัพพลายเชนที่โยงใยกันอย่างซับซ้อน แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ แทบไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นนับหนึ่ง กระบวนการนี้ต้องอาศัยเวลาหลายปีและทรัพยากรจำนวนมหาศาล กว่าที่ระบบทั้งหมดจะทำงานสอดประสาน จนกลายเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนการดำเนินงานของ Apple อย่างทุกวันนี้

โดยเฉพาะการผลิต iPhone รุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่ต่างอะไรกับการต่อจิ๊กซอว์ เพราะมีส่วนประกอบถึง2,700 ชิ้น และต้องใช้ซัพพลายเออร์มากถึง 187 ราย จาก 28 ประเทศ ซึ่งซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่มีการดำเนินงานอยู่ที่จีนเป็นหลัก โดยมีเพียง 30 รายเท่านั้นที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศอื่น อาทิ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ, ไทย, เวียดนาม ฯลฯ

ภาพแสดงที่ตั้งซัพพลายเออร์ของ Apple ในประเทศต่างๆ

ที่มา: Financial Times

2. ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะแรงงาน และเครื่องจักรพิเศษที่มีเฉพาะในจีน

จีนมีระบบนิเวศที่เฉพาะตัว ทั้งเครื่องจักรชนิดพิเศษ รวมถึงแรงงานที่มีความชำนาญ ไม่ใช่แค่ค่าแรงถูกอย่างแต่ก่อนเท่านั้น

ยกตัวอย่างให้แห็นชัด การผลิตเฟรมของ iPhone ส่วนใหญ่ทำจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว ซึ่งต้องใช้เครื่องจักร CNC Machine ที่มีความแม่นยำสูงในการตัดบล็อกโลหะและขึ้นรูป ซึ่งมีพร้อมใช้ในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในจีนเท่านั้น ขณะที่กระจกหน้าจอของ iPhone ซึ่งผลิตในสหรัฐฯ แต่ชิ้นส่วนที่ทำให้ระบบสัมผัสของจอสมาร์ทโฟนทำงานได้นั้น ตั้งแต่หน้าจอที่เรืองแสงไปจนถึงชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ประกอบกันเป็นเลเยอร์ ส่วนใหญ่ผลิตในเกาหลีใต้ ก่อนจะส่งไปประกอบที่จีน

นั่นหมายความว่า กระบวนการทั้งหมดจะต้องอาศัยทั้งวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญสูงและแรงงานที่ประกอบชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล ซึ่งคุณสมบัติเรื่องความรวดเร็ว ยืดหยุ่น และมาตรฐานระดับโลก ที่จีนมีนั้นยากที่จะหาแหล่งอื่นมาทดแทน

บทความจาก Times ซึ่งเว็บไซต์ Inc.com นำมาอ้างอิง ยังได้สรุปเหตุผลจากการพูดคุยกับผู้บริหารของ Apple ในเรื่องมุมมองการผลิตในสหรัฐฯ พวกเขาเชื่อว่า "ความสามารถในการผลิตขนาดใหญ่ของโรงงานในต่างประเทศ รวมถึงความยืดหยุ่น, ความขยันขันแข็ง และทักษะทางอุตสาหกรรมของแรงงานต่างชาติ แซงหน้าแรงงานชาวอเมริกันไปมากจนทำให้การผลิตในสหรัฐฯ ไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับ Apple อีกต่อไป

บทความได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่บอกเล่าจากปากอดีตผู้บริหารของ Apple เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการออกแบบหน้าจอ iPhone ในนาทีสุดท้าย ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตที่โรงงานในจีน "ช่วงเที่ยงคืนๆ หนึ่ง หัวหน้าคนงานได้ปลุกพนักงาน 8,000 คน ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นขึ้นมา พวกเขาถูกพาไปสถานที่ทำงาน ภายในครึ่งชั่วโมง แรงงานก็เริ่มประจำการ เข้ากะ 12 ชั่วโมง เพื่อประกอบหน้าจอกระจกเข้ากับขอบตัวเครื่อง และภายใน 96 ชั่วโมง ก็สามารถผลิต iPhone ได้มากกว่า 10,000 เครื่องต่อวัน

อดีตผู้บริหารท่านนั้นกล่าวกับว่า "ความรวดเร็วและความยืดหยุ่นนี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก คงไม่มีที่ไหนในอเมริกาทำได้แบบนี้

นอกจากนี้ ต้นทุนของแรงงานในสหรัฐฯ ยังสูงเกินไป ถ้าเทียบกับงานรูปแบบเดียวกันในจีน แรงงานชาวอเมริกันไม่น่าจะเต็มใจทำงานซ้ำ ๆ โดยก้มหน้ายอมรับอัตราค่าจ้างที่ทำให้ Apple สามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้อย่างแน่นอน กระบวนการผลิตในอเมริกาจึงเหมาะกับการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) มากกว่า

ตารางเปรียบเทียบค่าแรงภาคการผลิต: สหรัฐฯ vs จีน

แหล่งข้อมูล ประเทศ รายได้เฉลี่ยต่อปี (USD) สัดส่วนเทียบกับสหรัฐฯ Apollo สหรัฐฯ 70,000+ 100% จีน 13,000+ ~1819% National Association of Manufacturers สหรัฐฯ 102,629
(รวมสวัสดิการ) 100% จีน 25,657 ~25%

3. ความจำเป็นในการรวมคลัสเตอร์ซัพพลายเชนไว้ใกล้กัน

การที่ซัพพลายเออร์และผู้ผลิตอยู่ใกล้กันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการผลิตและการสื่อสารของธุรกิจ

Andy Tsay ศาสตราจารย์จาก Santa Claras Leavey School of Business กล่าวว่า "การรวมกิจกรรมในซัพพลายเชนไว้ในที่เดียวกันมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งในแง่ความเร็วและคุณภาพของการสื่อสาร รวมถึงนวัตกรรมในการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการ"

Wamsi Mohan จาก Bank of America ระบุว่า การมีระบบนิเวศด้านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเหตุผลว่าทำไมการย้ายการประกอบชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ จึงอาจนำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าหากทุกอย่างไม่ได้ผลิตในที่ที่ใกล้กัน กระบวนการทำงานก็จะซับซ้อนยิ่งขึ้น

แม้ Apple อาจจะหาผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ สำหรับ iPhone ได้ แต่ชิ้นส่วนบางชนิดก็มีแหล่งผลิตเพียงแห่งเดียว เช่น TSMC ในไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นผู้จัดหาชิปประมวลผลหลัก ถึงแม้บริษัทจะกล่าวว่าได้เริ่มการผลิตจำนวนมากในรัฐแอริโซนาเมื่อเดือนม.ค. แล้วก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังยืนยันว่า ไม่มีอะไรมาทดแทนชิปที่ผลิตในไต้หวันและเกาหลีใต้ได้

4. การพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน

การพึ่งพาแร่หายาก หรือ Rare earth ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี สร้างความยุ่งยากให้กับ Apple เนื่องจากจีนเป็นผู้ครองตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ตัวอย่างเช่น แลนทานัม (Lanthanum) ซึ่งเป็นโลหะหายากที่ใช้เพื่อยืดอายุการใช้งานให้กับแบตเตอรี่ของ iPhone รวมถึงใช้เพื่อเพิ่มความคมชัดของสีบนหน้าจอ ส่วนดิสโพรเซียม (Dysprosium) ก็ถูกนำมาใช้ในหน้าจอสีของ iPhone รวมถึงฟังก์ชันการสั่นด้วย แร่ส่วนใหญ่เหล่านี้มีการขุดและแปรรูปในประเทศจีน

รายงานการสำรวจด้านธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาจีนในการจัดหาสารประกอบและโลหะหายากที่นำเข้าถึง 70% ซึ่งมีการจัดหาจากจีนโดยตรง จึงยิ่งทำให้จีนมีอำนาจต่อรอง โดยใช้มาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายากเพื่อตอบโต้มาตรการภาษีของทรัมป์ไปแล้ว

5. นโยบายการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคตของสหรัฐฯ

การขาดนโยบายที่ต่อเนื่องในระยะยาวในสหรัฐฯ และอำนาจต่อรองที่จีนมีเหนือซัพพลายเออร์ ก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น หากมีการย้ายฐานการผลิตขนาดใหญ่

ระบบการเมืองของอเมริกาที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศทุก ๆ สี่ปี จึงทำให้ภาคธุรกิจไม่กล้าทุ่มหมดหน้าตัก เพราะไม่รู้ว่า อนาคตข้างหน้าหากมีการเปลี่ยนตัวผู้นำคนใหม่ ทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศจะออกมาในรูปแบบใด หากออกตัวแรงไป ก็อาจได้ไม่คุ้มเสีย จึงไม่น่าแปลกใจที่รอบนี้ บรรดาบิ๊กเทคต้องออกมาแก้เกมเพื่อให้ธุรกิจไปต่อ ท่ามกลางแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ

หากวัดเพียงต้นทุนต่อหน่วย การย้ายการผลิต iPhone กลับมาสหรัฐฯ คงไม่คุ้มค่าในระยะสั้น จากต้นทุนแรงงานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะผลักดันต้นทุนให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากพิจารณาในการวางยุทธศาสตร์ระยะยาว ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนและได้สิทธิประโยชน์จากรัฐบาลมาชดเชย การย้ายการผลิตบางส่วนหรือสร้างคลัสเตอร์ผลิตในสหรัฐฯ ก็อาจคุ้มค่าในแง่นี้

แต่เกมนี้ จีนคงไม่ยอมปล่อยให้ Apple ที่แปะป้าย Made In China อย่างภาคภูมิใจมายาวนาน หลุดมือไปเป็น Made In USA ได้ง่าย ๆ เป็นแน่

ที่มาFinancial Times (1) และ (2), BBC, Manufacturing Today, Inc.com, Investopedia, Apolloและ Marketwatch

รายงาน โดย Supak Hopuengju เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก efinanceThai

ธุรกิจอินโดฯ โอด “นูซันตารา” สุดเงียบเหงา หวั่นแผนย้ายเมืองหลวงใหม่สะดุด

12 ชั่วโมงที่ผ่านมา

SENA กำไรครึ่งแรกปี 68 ที่ 301 ลบ. ตุน Backlog 7.45 พันลบ. ย้ำการเงินแข็งแกร่ง-จ่อออกหุ้นกู้ใหม่เสริมพอร์ต

14 ชั่วโมงที่ผ่านมา

AMATAV ย้ำเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6 พันลบ. ยอดขาย 500 ไร่ ลุยขยายพอร์ตเวียดนามอีก 6 พันไร่ใน 5 ปี

15 ชั่วโมงที่ผ่านมา

(MGC ขอแก้ไข) MGC โชว์งบครึ่งปีแรก 68 กำไรทะยาน 167% ทะลุ 100 ลบ. ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง

17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.

ThaiFranchiseCenter

AIS ชูแคมเปญ ดูถูก ไม่ดูเถื่อน เชียร์ฟุตบอลถูกลิขสิทธิ์ บน AIS PLAY

ฐานเศรษฐกิจ

ไอเดียสู้ภัยไซเบอร์ด้วย Crime Tech จาก 3 แชมป์นิวเจนระดับมหาวิทยาลัย “True CyberSafe x TrueMoney Hackathon Thailand 2025”

สยามรัฐ

SUN ลงนามก่อสร้าง “โรงงานผลิตข้าวโพดหวาน” Tetra Recart มูลค่า 240 ล้านบาท

ข่าวหุ้นธุรกิจ

แค่คิดก็สื่อสารได้! Stanford พัฒนาเทคฯ ‘อ่านความคิด’ แปลงเป็นคำพูด แม่นยำ 74%

Techsauce

BAFS ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 56 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวอนุมัติปันผล 0.11 บาท ขึ้น XD 28 ส.ค.

TODAY

ค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทย (สัปดาห์ที่ 11-15 ส.ค. 68)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

จีนมีแผนกระตุ้นการบริโภคครั้งใหม่ผ่านการอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ข่าวและบทความยอดนิยม

เปิดสูตรความสำเร็จ THE KLINIQUE ธุรกิจความงามบนเวทีตลาดหุ้น

efinanceThai

จับตา IPO ครึ่งหลังปี 68 คึกคัก 11 หุ้นใหม่จ่อเข้าเทรด ขยับพอร์ตนักลงทุน

efinanceThai

หุ้น S&P 500 กำลังเป็นกระทิงคลั่งหรือฟองสบู่? รู้ให้ทันก่อนตลาดหุ้นซ้ำรอย 1999

efinanceThai
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...