นับถอยหลัง 29 ส.ค. ชี้ชะตาแพทองธาร “รอด-ไม่รอด”คดีคลิปฮุนเซน
กระบวนการพิจารณา รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ไต่สวนพยาน ในคดีที่ประธานวุฒิสภา ได้ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 36 คน ขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวหรือไม่ หลังถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีปรากฏ คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ศาลไต่สวนพยาน 2 ปาก
โดยเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดไต่สวนพยานบุคคล 2 ปาก ประกอบด้วย 1.น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี 2.นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงต่อหน้าบัลลังก์ว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของประเทศ ศาลจึงมีคำสั่ง ห้ามการถ่ายทอดภาพและเสียงการไต่สวน อีกทั้งห้ามผู้เข้าฟังนำข้อความหรือถ้อยคำที่ปรากฏในการไต่สวนออกไปเผยแพร่ รวมถึงห้ามบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย อันอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม
ต่อมาศาลได้มอบหมายให้ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และ นายนภดล เทพพิทักษ์ เป็นผู้ดำเนินการไต่สวน มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านอื่นร่วมซักถาม โดยในลำดับแรก นายวิรุฬห์ ได้เรียกไต่สวน นายฉัตรชัย เป็นพยานปากแรก ก่อนเชิญ น.ส.แพทองธาร ออกไปรอด้านนอก ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
ทั้งนี้ ก่อนการไต่สวน น.ส.แพทองธาร เจ้าหน้าที่ศาลได้อนุญาตให้เผยแพร่ภาพสดบรรยากาศภายในห้องพิจารณาผ่านกล้องวงจรปิดช่วงสั้น ๆ ไม่ถึง 1 นาที ปรากฏภาพ น.ส.แพทองธาร กล่าวคำปฏิญาณตนว่า “ข้าพเจ้า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ขอปฏิญาณว่าจะให้ถ้อยคำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทุกประการ” ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ศาลฯ ได้ใช้เวลาไต่สวน เลขาฯ สมช. และ น.ส.แพทองธาร รวมเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
29 ส.ค.ชี้ชะตา“แพทองธาร”
นายนครินทร์ ระบุหลังการไต่สวนว่า เดิมทีศาลกำหนดให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีในวันที่ 27 ส.ค. 2568 และนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และ ลงมติในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 09.30 น. ก่อนอ่านคำวินิจฉัย ในเวลา 15.00 น.
แต่เพื่อให้ตุลาการมีเวลาเพียงพอ ในการจัดทำคำวินิจฉัยส่วนตนอย่างรอบคอบ ศาลจึงใช้อำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 31 มีคำสั่งให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันที่ 25 ส.ค. 2568 หากไม่ยื่นจะถือว่าไม่ติดใจยื่น
สองทางเลือก“แพทองธาร”
ก่อนถึงวันอ่านคำวินิจฉัย “แพทองธาร” มีทางเลือกอยู่เพียงสองแนวทาง คือ
1. ลาออกก่อนศาลตัดสิน
สถานการณ์ในสภา : เมื่อ “แพทองธาร” ลาออก รัฐบาลต้องเข้าสู่กระบวนการโหวตนายกฯ คนใหม่ จากรายชื่อแคนดิเดตเดิม โดยพรรคเพื่อไทยยังถือเสียงข้างมากร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้สามารถผลักดันแคนดิเดตที่เหลืออยู่ขึ้นมาได้
ผู้ที่มีสิทธิถูกเสนอชื่อ ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ (เพื่อไทย), พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี), พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รวมไทยสร้างชาติ), อนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย) และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ประชาธิปัตย์)
ผลทางคดี : เมื่อไม่มีตำแหน่งนายกฯ ให้เพิกถอน ศาลย่อมจำหน่ายคดีไป ลดความเสี่ยงที่จะถูกพิพากษาลงโทษ และไม่กลายเป็นบรรทัดฐานทางการเมือง
แรงกระเพื่อมในพรรค : การตั้งนายกฯ คนใหม่ แทน แพทองธาร อาจมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นภายในเพื่อไทย เกิดแรงเสียดทานจากพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่จะมีข้อเรียกร้องทางการเมืองเกิดขึ้น
2. รอศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา
ผลทางกฎหมาย : หากศาลวินิจฉัยให้มีความผิด จะพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ทันที และอาจเป็น “สารตั้งต้น” นำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต เพราะมีคดีจริยธรรมร้ายแรงที่ ป.ป.ช. รอพิจารณาตามมา
ผลทางการเมือง : แม้พรรคเพื่อไทยสามารถเสนอแคนดิเดตใหม่ได้ แต่ภาพลักษณ์รัฐบาลจะเสียหายหนัก ฝ่ายค้านย่อมใช้โอกาสนี้ขยายแรงกดดัน ทั้งการยุบสภา หรือ ผลักดันการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
หาก “แพทองธาร” รอดพ้นคดี จะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม ในฐานะผู้นำที่ผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากแพ้ ย่อมสูญเสียทั้งตำแหน่งและชื่อในหน้าประวัติศาสตร์
เกมเดิมพันสูงของเพื่อไทย
ไม่ว่าทางใด ผลลัพธ์ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสมการอำนาจการเมืองไทย ในปี 2568 การ “ลาออก” ก่อนศาลวินิจฉัยจะช่วยจำกัดความเสียหายและป้องกันคำพิพากษา ที่อาจนำไปสู่การตัดสิทธิทางการเมือง แต่ต้องแบกรับคำครหาว่า “หนีศาล”
ขณะที่การรอศาลตัดสิน แม้มีโอกาสสร้างความชอบธรรมใหม่ หาก “ชนะคดี” แต่ความเสี่ยงมหาศาล คือ การสูญเสียตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านเดินเกมเปลี่ยนขั้ว
สถานการณ์นี้จึงเป็น“ฉากทัศน์ชี้ชะตา” ไม่เพียงเฉพาะตัว “แพทองธาร” หากแต่ยังหมายถึงอนาคตทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และ อำนาจทั้งระบบการเมืองไทย
29 ส.ค.นี้ มารอลุ้นกันว่า “แพทองธาร” นายกฯ คนที่ 31 ของไทย และ นายกฯ หญิงคนที่ 2 ของ “ตระกูลชินวัตร” จะได้ “ไปต่อ” หรือไม่???