เปิด 6 ความเสี่ยง! ตลาดเครื่องประดับไทย
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์กรุงไทย คอมพาส ระบุว่า ใน ปี 2568-69 ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมตามแนวโน้มหดตัวที่ -1.8%YoY และ -2.2%YoY ตามลำดับ แบ่งเป็น
1) สลากส่งออก (ดีสุดตามจริง) ของมูลค่าตลาดรวม) คาดว่าจะหดตัวที่ -1.1%YoY และ -1.9%YoY ตามลำดับ โดยสินค้าที่มีความโดดเด่นทั้งด้านส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564-67 ได้แก่ เครื่องประดับทอง พลอยและเครื่องประดับเงิน ทั้งนี้ การส่งออกในปี 2568 คาดจะหดตัวในตลาดหลักส่วนใหญ่จากภาวะสงครามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ผลกระทบจาก Trade War การแข่งขันของเงินบาท แนวโน้มหดตัวจากคู่แข่งสำคัญ (21%) คาดจะยังขยายตัวเล็กน้อยจากการนำเข้าของคู่ค้าที่มาตรการเครื่องกีดขวางภาษีไม่เข้มงวดมากขึ้น (เช่น ตลาดดูไบ) (22%) สลากอินเดีย (8%) มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่ชัดและลดลงในขณะที่ตลาดฮ่องกง (26%) ซึ่งนำเข้าสินค้าจากไทยเพื่อ Re-Export ไปจีน มีแนวโน้มลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนปี 2569 แนวโน้มตลาดส่งออกยังหดตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งจากฐานลงทุนยังมีการนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ประกอบกับคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ยังไม่ดีมากนักประกอบกับจะทำให้ความต้องการสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับเติบโตได้ไม่ดีนัก
2) ตลาดในประเทศ (25% ของมูลค่าตลาดรวม) คาดหดตัว -3.8%YoY ในปี 2568 และ -3.0%YoY ในปี 2569 โดยการหดตัวใน ปี 2568 มีปัจจัยขั้นนอกจบที่ปริมาณการขายที่คาดลดจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงภาวะชะลอการใช้จ่ายมาตรการในประเทศความกังวลในผลกระทบจาก Trade War หนี้ครัวเรือน อีกทั้งราคาเครื่องประดับทองที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนในปี 2569 คาดว่าปริมาณการขายจะหดตัวในอัตราที่ชะลอลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาต้องคำนึงอยู่คงในระดับสูงใกล้เคียงกับปี 2568
อย่างไรก็ดี ปัญหาการหดตัวตลาดสินค้าส่งเข้าจีน (China flooding) อาจทวีความรุนแรงขึ้นจากภารกิจที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในบางหมวด เช่น เครื่องประดับแท้ที่ผลิตจากทองผสมโลหะชุบ ซึ่งหากมีการนำเข้าจากจีนเพิ่ม 10% ของยอดส่งออกอาจถูกจำไปสหรัฐฯ ที่ใกล้เคียงกับยอดนำเข้าจากอเมริกาปี 2569 แล้ว
สำหรับในปี 2568-69 นั้นผู้ประกอบการจะต้องผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบางส่วนไปยังผู้ซื้อได้ แต่จงทำได้ที่ที่ราคาถูกต้องที่ราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับที่ทำได้ในระยะถูกในระยะยาวที่อาจลงจากราคาของสินค้าที่มีการปรับเพิ่มขึ้นต้นทุนที่ราคาที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ยังต้องมีผู้ยิงความเสี่ยงสำคัญได้แก่ 1) การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากไทยเป็น 19% และเริ่มใช้ในวันที่ 7 ส.ค. 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอาจยังส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นบางส่วนเนื่องจากไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าอินเดีย (50%) จึงอาจช่วยบรรเทาผลกระทบในตลาดส่งออกได้บ้าง
2) การถูกตัดจากสินค้าที่นำเข้าที่มีราคาต่ำจากจีนและฮ่องกงที่มีเพิ่มขึ้นตามผลกระทบของมาตรการค้า
3) การขาดแคลนแรงงานฝีมือทักษะสูงที่เชี่ยวชาญการเจียรไนพลอย
4) การขาดแคลนวัตถุดิบและฝิ่นที่ผสมของกล้วยไม้สำคัญ
5) การแย่งชิงของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่กระทบต่อการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย
และ 6) ความเสี่ยงจาก Technology disruption เช่น เทคโนโลยี 3D Printing และ CNC Machining ที่ช่วยให้แข่งขันสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับไทย แต่ใช้ในที่การผลิตและต้นทุนที่ต่ำกว่า
ในระหว่างหน้า ผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตอัญมณีและเครื่องประดับอาจเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดขึ้น ผู้ประกอบการอาจต้องดำเนินการในแนวคิด ESG มาตรฐานและรวมกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การได้รับรองมาตรฐานจาก Responsible Jewellery Council (RJC) ซึ่งกำหนดมาตรฐานด้านจริยธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานของเครื่องประดับ