"จตุพร" ลั่นรัฐบาลสิ้นศรัทธา! ซัดนิ่งเฉย MOU 43–44 ปล่อยเขตแดนคลุมเครือ
“จตุพร” ลั่นรัฐบาลสิ้นศรัทธา! ซัดนิ่งเฉย MOU 43–44 ปล่อยเขตแดนคลุมเครือ ขณะที่ “สมชาย” เตือน ศาลรัฐธรรมนูญอย่าหวั่นไหว ชี้คดี'แพทองธาร'รุนแรงกว่าทุกคดีในอดีต กระทบศรัทธาทั้งระบบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ส.ค. 2568 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน” ได้จัดแถลงข่าวใหญ่ เพื่อประกาศจุดยืนและแนวทางเคลื่อนไหวของภาคประชาชนต่อประเด็นปัญหาสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะเรื่อง บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา รวมถึงการตรวจสอบบทบาทของรัฐบาลและรัฐสภาในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และการดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง
ภายในงานมีแกนนำและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลากหลายฝ่ายเข้าร่วม ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนักเคลื่อนไหวอิสระ , นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน , นายนิติธร ล้ำเหลือ นักเคลื่อนไหวอิสระ , นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา , นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี
นอกจากนี้ กลุ่มรวมพลังแผ่นดินได้ประกาศจัดกิจกรรม “แสดงพลังปกป้องอธิปไตยไทย” ในวันพุธที่ 21 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ที่บริเวณด้านหน้ารัฐสภา เพื่อจับตาญัตติด่วนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเกี่ยวข้องกับ MOU 43 และ MOU 44 ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นต้นตอของปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชา ทั้งในพื้นที่ทางบกบริเวณปราสาทพระวิหาร และในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่มีทรัพยากรพลังงานมหาศาล
นายจตุพร กล่าวยืนยันว่า การแสดงพลังของภาคประชาชนในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อรัฐประหาร แต่เป็นการแสดงออกอย่างสันติ เพื่อเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและรัฐสภาแสดงความจริงใจในการทำหน้าที่
“เราไปในวันนั้น ไม่ใช่เพื่อป่วนหรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แต่เพื่อให้ทุกพรรคการเมืองได้ตระหนักว่า MOU 43–44 มีผลกระทบต่อประเทศอย่างแท้จริง และจนถึงวันนี้ ยังไม่มีการอภิปรายทั่วไปในสภาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้งที่เกิดเหตุการณ์ปะทะชายแดนหลายครั้ง” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณี น.ส.แพทองธาร ที่มีการเปิดเผยว่าเคยติดต่อสื่อสารกับผู้นำต่างประเทศอย่างไม่เหมาะสม และมีการตั้งข้อสังเกตถึงการใช้สถานที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์ในการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดร้ายแรงในเชิงจริยธรรม
นายจตุพร ยังตั้งข้อสังเกตต่อกระบวนการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ และชี้ว่า แม้ฝ่ายค้านจะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการถือครองทรัพย์สินผิดกฎหมาย การเลี่ยงภาษี และการถือหุ้นสื่อ แต่กลับไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ด้วยเหตุผลเรื่องจริยธรรม ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดทางกฎหมายที่ยังคงเป็นปัญหาในการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายพิชิต ระบุว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มในครั้งนี้เกิดจากความกังวลต่อสถานการณ์ที่กระทบต่ออธิปไตยของไทย โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาในอดีต ที่นำไปสู่การลงนามใน MOU โดยไม่มีการนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา
“นี่คือจุดเริ่มต้นของการแสดงพลังจากภาคประชาชน เพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU 43–44 และให้รัฐบาลกล้าเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้โดยตรง” นายพิชิต กล่าว
นายนิติธร กล่าวว่า จุดอ่อนของ MOU ทั้งสองฉบับ คือการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการแบ่งเขตแดน ซึ่งไม่มีความแม่นยำทางภูมิศาสตร์และยังไม่มีการรับรองจากรัฐสภา ขัดต่อหลักการตรวจสอบและความโปร่งใส
“การใช้แผนที่ลักษณะนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นที่ชายแดนไทยโดยไม่รู้ตัว เราไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปอีกต่อไป” นายนิติธร กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า คดีของ น.ส.แพทองธาร มีความร้ายแรงกว่าคดีถอดถอนของอดีตนายกรัฐมนตรีหลายคน เพราะมีความเชื่อมโยงกับการต่างประเทศ และข้อกล่าวหาว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้สถานที่ทางการทูตของกัมพูชาในการจัดตั้งรัฐบาล
“เรื่องนี้ต้องมีการไต่สวนอย่างเปิดเผย และศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันทางการเมือง หากปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย จะเป็นอันตรายต่อระบบประชาธิปไตยในระยะยาว” นายสมชาย กล่าว
ด้าน นพ.วรงค์ ระบุว่า ญัตติที่ยื่นเข้าสภาในประเด็น MOU 43–44 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนควรติดตาม เพราะทั้งสองฉบับเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาเรื่องพลังงานและอธิปไตยของประเทศ
“หากรัฐสภาปล่อยให้มีข้อตกลงระหว่างประเทศโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชน เท่ากับละเลยหน้าที่ที่แท้จริงในการปกป้องชาติ” นพ.วรงค์ กล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดไต่สวนคดีจริยธรรมของ น.ส.แพทองธาร ในวันที่ 21 สิงหาคม และจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ขณะที่กลุ่มรวมพลังแผ่นดินและภาคประชาชนเตรียมเข้าร่วมกิจกรรมแสดงพลังหน้ารัฐสภาเพื่อกดดันให้เกิดความโปร่งใส
นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ภารกิจของประชาชนในครั้งนี้คือการรักษาอนาคตของประเทศไว้ให้ลูกหลาน ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องออกมาแสดงพลังอย่างสงบเพื่อรักษาอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ ขอเชิญพี่น้องมาร่วมกันในวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 10.00 น. หน้ารัฐสภา อย่าปล่อยให้ใครฉวยโอกาสทำร้ายประเทศอีกต่อไป