ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่หุ้นเอไอ ฉุด NASDAQ ติดลบ
ซีเอ็นบีซี รายงานว่าดัชนี S&P 500 ปิดตลาดวันอังคาร ( 22 ก.ค.) ด้วยสถิติใหม่ ขณะที่นักลงทุนกำลังพิจารณารายงานผลประกอบการล่าสุดและแนวโน้มการผลการเจรจาการค้าใหม่ๆ
โดย S&P 500 ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.06% ปิดที่ 6,309.62 จุด และทำสถิติปิดตลาดสูงสุดเป็นครั้งที่ 11 ในปี 2568 ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์Dow Jones Industrial Average ซึ่งรวมหุ้น 30 ตัว เพิ่มขึ้น 179.37 จุด หรือ 0.40% ปิดที่ 44,502.44 จุด ในทางตรงกันข้าม ดัชนีแนสแด็กNasdaq Composite ลดลง 0.39% ปิดที่ 20,892.69 จุด เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง นับเป็นวันแรกที่ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีติดลบในรอบ 7 วัน
หุ้นชิปตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงในอุตสาหกรรมนี้ได้รับแรงฉุดจากรายงานของสื่อ The Wall Street Journal ที่ระบุว่าบริษัท SoftBank และโครงการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ AI มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ของ OpenAI กำลังประสบปัญหาในการเริ่มต้นและต้องลดขนาดแผนระยะสั้นลง ราคาหุ้น Broadcom
ร่วงมากกว่า 3% และ Nvidia บริษัทปัญญาประดิษฐ์ชื่อดัง
ร่วงมากกว่า 2% Taiwan Semiconductor Manufacturing
ร่วงลงเกือบ 2%
ขณะเดียวกัน หุ้น Lockheed Martin บริษัทด้านการบินและอวกาศและการป้องกันประเทศดิ่งลงเกือบ 11% หลังจากรายได้ของบริษัทในไตรมาสที่สองต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ในทำนองเดียวกันPhilip Morris ร่วงลง 8% หลังจากรายได้ในไตรมาสที่สองของบริษัทยาสูบลดลง
อย่างไรก็ตาม การลดลงเหล่านี้ถูกชดเชยด้วยการปรับขึ้นของตลาดส่วนที่นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยี โดยนักลงทุนแห่เข้าลงทุนในกลุ่มการดูแลสุขภาพ ซึ่งทำผลงานได้ดีกว่าด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในวันนั้น ปัจจัยนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของ IQVIA ที่พุ่งขึ้นเกือบ 18% หลังจากผลประกอบการและรายได้ที่พุ่งสูงขึ้น นำดัชนี S&P 500 รวมถึงหุ้นบริษัทยาอื่นๆ อย่าง Amgen และ Merck
หุ้นขนาดเล็กก็ทำได้ดีกว่าเช่นกัน โดยดัชนี Russell 2000 เพิ่มขึ้น 0.8%
ตามข้อมูลของ FactSet ระบุว่า เกือบ 90 บริษัท ในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการแล้ว โดยประมาณ 85% ของบริษัทเหล่านี้มีผลประกอบการสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตามองความเห็นจากบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค ผลกระทบของภาษีศุลกากร และรายละเอียดเกี่ยวกับอุปสงค์และการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเอไอ
บริษัทแม่ของ Google อย่าง Alphabet และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะรายงานผลประกอบการในวันพุธนี้ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นผลประกอบการที่คาดการณ์ไว้สูงของบริษัทกลุ่มเจ็ดนางฟ้า “Magnificent Seven”
นักลงทุนคาดว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดอย่างมีนัยสำคัญในฤดูกาลนี้
เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นักลงทุนจึงกำลังจับตาดูว่าตลาดจะยังสามารถเติบโตได้อีกไกลแค่ไหนจากจุดนี้
“ตลาดนี้ค่อนข้างชะงัก” เจย์ แฮทฟิลด์ ซีอีโอของ Infrastructure Capital Advisors กล่าวกับซีเอ็นบีซี เป้าหมาย 6,600 จุดสิ้นปีของดัชนี S&P 500 ของเขาคาดการณ์ว่าดัชนีจะต้องปรับขึ้นอีกเกือบ 5% จากราคาปิดตลาดวันอังคาร “เราจำเป็นต้องมีรายงานผลกำไรของกลุ่มเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งมากเพื่อผลักดันให้ตลาดสูงขึ้นไปอีก”
ทรัมป์เผยตั้งกำแพงภาษีสินค้าฟิลิปปินส์ 19%
นักลงทุนยังได้ประเมินสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับภาษีศุลกากร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่าสหรัฐฯ น่าจะขยายกำหนดเวลาเส้นตายในการบรรลุข้อตกลงกับจีน เบสเซนต์เสริมว่าเขาวางแผนที่จะพบกับเจ้าหน้าที่จีนที่กรุงสตอกโฮล์มในสัปดาห์หน้า
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในวันอังคารที่ผ่านมาว่าสหรัฐฯ ได้ “สรุป” ข้อตกลงการค้ากับฟิลิปปินส์ ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ 19% อย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์ยังไม่ได้ยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจริง