กนง. คงอัตราดอกเบี้ย แต่หวังลดก่อนสิ้นปี
กรรมการพิจารณานโยบายด้านการเงินของประเทศไทยลงความเห็นให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานต่อไปที่อัตรา 1.75% ซึ่งอาจเป็นไปตามนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์คาดส่วนใหญ่ เนื่องจากท่าทีของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังส่งสัญญานไม่รีบเร่งต้องปรับอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางความไม่แน่นอนในปัจจัยหลายประการ ประกอบกับตัวเลขของเศรษฐกิจไทยยังคงเสถียรภาพ อ่อนตัวไม่รุนแรง ซึ่งหากประกอบกับท่าทีของธนาคารหลักของเศรษฐกิจใหญ่อย่างประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ก็ดูเหมือนจะมาในทิศทางเดียวกัน
ทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองตัวเลขเกี่ยวกับความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ผู้บริโภค การจ้างงาน การใช้จ่าย ในหลายประเทศ ล้วนบ่งชี้ว่า การพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในการประชุมของธนาคารต่าง ๆ ในราวเดือนกันยายน นี้ มีสัดส่วนสูงขึ้น ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐมีแนวโน้มเคลื่อนตัวขึ้นในไตรมาสสามเมื่อผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าเริ่มคำนวณเข้าไปในราคาสินค้า ซึ่งหากมีผลกระทบด้านราคาน้ำมันมาซ้ำเติม อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อค้างในระดับสูงถึงสิ้นปีก่อนที่จะลดลงในช่วงต้นปี 2569 (หากสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ขยายตัวออกไปกระทบประเทศผู้ส่งน้ำมันดิบอื่น) ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับประเทศญี่ปุ่นที่ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตัวเลขพื้นฐานที่ฟื้นตัวดีขึ้น
หากแต่ท่าทีคณะกรรมการพิจารณานโยบายการเงินญี่ปุ่นยังกังวลในเรื่องข้อพิพากษ์ด้านการค้า ซึ่งอาจกระทบการส่งออกสินค้าญี่ปุ่น ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของญี่ปุ่นยังมีช่องว่างกว้างมากเกินไป และปรับอัตราดอกเบี้ยที่ช้าเกินไปเทียบกับธนาคารกลางสหรัฐและยุโรป จนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนที่อ่อนค่ากลับมาเสริมสร้างปัญหาอัตราเงินเฟ้อกับคนญี่ปุ่น
สำหรับประเทศไทยนั้น ผมยังเชียร์ให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป เนื่องจากเราไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการบริโภคร้อนแรง อัตราเงินเฟ้อต่ำเตี้ยกว่ากรอบเป้าหมาย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปเทียบกับเงินสกุลหลัก และเงินสกุลเอเชีย (จากความเห็นของนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ส่วนมาก) ซึ่งเศรษฐกิจไทยเองพึ่งพาเรื่องการส่งออก และท่องเที่ยวมาก การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะลดแรงจูงใจสำหรับการทำ yield arbitrage ระหว่างบาทกับเงินเยน
ด้วยเหตุนี้ การแนะนำจัดสรรเงินลงทุนของทีมงานวิเคราะห์และบริหารเงิน ซึ่งมองไปอีก 6 เดือนจากนี้ กองทุนตราสารหนี้ในต่างประเทศจะน่าลงทุนมากขึ้น โดยมาจากเหตุผล คือ
- อัตราดอกเบี้ยในประเทศพัฒนา อย่างสหรัฐ ยุโรป (Developed economy) มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่าประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging economy) โดยที่ผ่านมา ธนาคารกลางในสองโซนนี้ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี แน่นอนว่า อัตราดอกเบี้ยระดับนี้จะไม่สามารถคงระดับสถานะนี้ได้ในระดับยาว ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงกลับเข้าสู่กรอบนโยบาย
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งมากเกินปัจจัยพื้นฐาน จะสร้างโอกาสสำหรับอัตราผลตอบแทนโดยรวมเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากอัตราผลตอบแทนจากการถือครองตราสารหนี้ต่างประเทศ เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนบาทเทียบสกุลอื่นเริ่มอ่อนค่าเข้าสู่ภาวะปกติ เหมาะสม
- กลไกการเงินของโลกในระยะเวลา 5 ปีจากนี้ยังคงถูก dominate โดยเงินสกุลหลักของโลก แม้ว่าจะเห็นการเพิ่มสัดส่วนถือครองทองคำ และคริปโตในพอร์ตนักลงทุนสถาบันก็ตาม เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรงจะกระทบต่อเงินสกุลสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
- ราคาทองคำจะมีการปรับตัวลงระยะสั้น หลังจากปัจจัยผลักดันในเรื่องภาวะสงคราม การเจรจาการค้าในเรื่องอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐเริ่มมีทางออกมากขึ้น แต่ทิศทางราคาทองคำในระยะยาวยังคงดีต่อเนื่อง
หากนักลงทุนต้องการเพิ่มสัดส่วนทองคำในพอร์ต เราแนะนำให้ “รอก่อน”
อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนท่านใดประสงค์อยากได้การแนะนำ และบริการอัตโนมัติในเรื่องการลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ สามารถติดต่อสอบถามบริการ Auto Investing-Top fund ของหลักทรัพย์บัวหลวง ได้ทุกสาขา
กราฟ : การคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทย ปี 2568-2569