มือชาบอกโรค 'วัยทำงาน'ควรรู้ '4 ตำแหน่ง' มีโรคอะไรซ่อนอยู่
อาการชาตามร่างกาย เป็นอาการที่ใครหลายๆ คนต่างเคยประสบพบเจอ ยิ่ง "วัยทำงาน และผู้สูงอายุ" พฤติกรรมการอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ หรือสภาพร่างกายที่เมื่ออายุมากขึ้นย่อมมีความเสื่อมเกิดขึ้น
"อาการมือชาแขนชา" หากเกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่เมื่อปรับเปลี่ยนท่าทาง ก็มักหายได้เองและอาจดูไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมาก แต่หากพบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า เช่น เท้าชา ปลายนิ้วชา มือชา มีอาการชาจนอาจทำให้สูญเสียความรู้สึก หรือมีความรู้สึกที่แสดงออกมากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต
โดยลักษณะของอาการชาดังกล่าว อาจเป็นอาการของโรคหรือเป็นสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน จากโรคเบาหวาน อาการชาที่เกิดจากบางสาเหตุ หากทิ้งไว้อาจทำให้เกิดการเสียหายของเส้นประสาทอย่างถาวร ทำให้การรักษาหรือฟื้นฟูกลับมา ต้องใช้เวลามากกว่าปกติ หรือรักษาแล้วอาจเกิดความพิการหลงเหลืออยู่ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ชาบอกโรค!! อย่าปล่อยไว้ ชาปลายมือ ปลายเท้า สัญญาณเตือนโรค
สุขภาพแย่ เพราะ 'ฉี่บ่อย' ระวังภัยเงียบ สัญญาณเตือน 'โรคซ้อนเร้น'
4 ตำแหน่งมือชาที่อันตราย ควรรีบพบแพทย์
พญ.ปัทมาภรณ์ เนตรมุกดา อายุรแพทย์ เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง จากแอปฯ หมอดี เตือนว่า4 ตำแหน่งมือชา ที่ไม่ควรปล่อยไว้ หากมีอาการควรรีบพบแพทย์ ได้แก่
1. ชานิ้วโป้ง-ชี้-กลาง-นาง - มือชาตำแหน่งนี้ อาจเป็นสัญญาณเป็นโรคเส้นประสาทกดทับข้อมือ จากการใช้งานมือท่าเดิมนาน ๆ มักปวดตอนกลางคืน หรือ ตื่นนอน
2. ชาปลายนิ้วมือ หรือเหนือขึ้นไปคล้ายสวมถุงมือ - หากมือชาที่จุดดังกล่าว อาจเกิดจากปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน
3. ชาปลายเท้าและปลายมือ - มือชาตรงจุดนี้ อาจเกิดจากอาการปลายประสาทอักเสบหรือเสื่อม หรือภาวะขาดวิตามินบี 1 บี 6 หรือบี 12 ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคไต โรคมะเร็ง และจากยาหรือสารพิษ เป็นต้น
4. ชาทั้งฝ่ามือและแขน ปวดร้าว - หากมือชาลักษณะนี้ อาจเป็นสัญญาณกระดูกต้นคอเสื่อม และกดทับเส้นประสาทได้
ถ้าพบว่าตนเองมีอาการมือชาในตำแหน่งที่น่าเป็นห่วงเหล่านี้ อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ หากพบว่าเป็นโรคร้ายแรง จะได้รักษาเยียวยาทัน
เช็กสาเหตุของอาการชาตามร่างกาย
1. อาการชาที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง คือ สมองหรือไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โดยตำแหน่งของอาการชามักเป็นด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย อาจมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรง ทรงตัวลำบาก โดยอาการมักเป็นฉับพลันทันที หรือ โรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ (Multiple Sclerosis) อาจพบอาการปวดตามตำแหน่งของประสาทที่มีอาการอักเสบ มีอาการเกร็ง รีเฟลกซ์การตอบสนองไวกว่าปกติร่วมกับอาการชาได้หลายตำแหน่งของร่างกาย
2. อาการชาที่เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย
- ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากกระดูกต้นคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน
- ภาวะการกดทับของเส้นประสาทในแขนขา โดยมักพบในตำแหน่งที่เส้นประสาทอยู่ตื้น และสัมพันธ์กับการนั่งหรือทำท่าเดิมนานๆ ทำท่าทางใดๆ ซ้ำๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นานๆ ถือของหนัก นักกีฬาที่ต้องใช้มือหรือข้อมือเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการอ่อนแรง หรือมีกล้ามเนื้อในลีบได้หากถูกกดทับนานๆ
- การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ ทั้งนี้ ขึ้นกับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกรบกวนด้วย โดยมักจะมีอาการชาแบบสูญเสียความรู้สึกและอ่อนแรงร่วมด้วย
- โรคทางพันธุกรรม ที่ทำให้เส้นประสาทหรือปลอกประสาทส่วนปลายเสื่อม เช่น Charcot Marie Tooth Syndrome โดยผู้ป่วยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีอาการเกี่ยวกับปลายประสาท มักมีอาการผิดรูปของเท้าหรือมือร่วมด้วย
- ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ มักมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
- การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสงูสวัด ซิฟิลิส เฮชไอวี
- โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
- โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ
- การขาดวิตามินในผู้ป่วยที่ดื่มสุราต่อเนื่อง ผู้ที่ทานมังสวิรัติ ผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารเรื้อรังทานได้น้อย ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหารมีโรคทางเดินอาหารหรือมีโรคประจำตัวหลายโรค โดยเฉพาะ วิตามิน B1, B6, B12, E, ไนอะซิน
- การได้รับยาหรือสารบางอย่าง ที่ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เช่น ยาฆ่าเชื้อได้แก่ Metronidazole, Ethambutol, Amiodarone, Colchicine เป็นต้น
- ภูมิคุ้มกันแปรปรวนชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง
- ความเจ็บป่วยทางร่างกายที่รุนแรง
3. อาการชาที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น
- การอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนเลือดแดงเพื่อนำเลือดดีมาเลี้ยงกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนปลายลดลง นอกจากอาการชาบริเวณแขนขาแล้ว ยังมีอาการซีดลงอีกด้วยเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดแดงลดลง อุณหภูมิจึงลดลง ปวด และคลำชีพจรไม่ได้ เป็นต้น
- การอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้การนำกลับของเลือดและของเสียลำเลียงออกไม่ได้ มีความดันในแขน ขา สูงขึ้น และรบกวนการนำเข้าของเลือดแดงมาเลี้ยง ซึ่งส่งผลต่อเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาทในที่สุด โดยมักมีอาการแขน ขา บวม สีคล้ำ ชา ปวด อ่อนแรงได้ อาจจะคลำชีพจรของแขน ขาได้ถ้าอาการเป็นไม่มาก
4. โรคข้ออักเสบ อาการอักเสบของข้อ ส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียงกับข้อ ทำให้มีอาการชาร่วมด้วยได้
5.โรคกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดไปยังเส้นประสาท อาจพบอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว
อาการชาแบบไหนที่ควรรีบมาพบแพทย์
โดยทั่วไป อาการชาที่เกิดร่วมกับอาการปวด มักทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญหรือรบกวนชีวิตประจำวัน โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและบรรเทาอาการอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่อาการชาที่มีลักษณะร่วมอื่นๆ ที่ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ ทำการรักษา และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
- อาการชาที่มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีอาการในตำแหน่งอื่นๆ เพิ่มขึ้น หรือตำแหน่งที่ต่อเนื่องกัน
- อาการชาที่มีลักษณะรับความรู้สึกของตำแหน่งไม่ได้ เสียการทรงตัว
- อาการชาที่มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย
- อาการชาที่มีอาการผิดรูปหรือมีแผลร่วมด้วย
- อาการชาร่วมกับมือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยอาการ
1.การซักประวัติ อาการ ปัจจัยเสี่ยง หรือโรคที่อาจเป็นสาเหตุ รวมถึงยาที่ผู้ป่วยรับประทานในแต่ละวัน
2.การตรวจร่างกาย โดยการใช้ไม้จิ้มฟันปลายแหลม หรือการใช้สำลีสัมผัสเบาๆ ที่ผิวหนัง
3.การตรวจเพิ่มเติม โดยการส่งตรวจแบบเฉพาะของเส้นประสาท ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study – NCS) เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดของโรค การตรวจเพิ่มเติมทางระบบประสาทอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคดังที่กล่าวข้างต้น เช่น ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง กระดูกไขสันหลัง บางรายอาจมีอาการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง รวมถึงการตรวจเลือดเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การตรวจน้ำตาล/น้ำตาลสะสมในเลือด การตรวจระดับวิตามินบีในร่างกาย การตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน การตรวจหาภาวะติดเชื้อบางอย่าง เป็นต้น
การรักษาอาการชา
จากสาเหตุของอาการที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการดูแลรักษาอาการชาเบื้องต้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทานวิตามินบี เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีสาเหตุการเกิดอาการชานั้นมีมากมาย ซึ่งแนวทางการรักษาอาการชา มีดังนี้
- เน้นการรักษาตามสาเหตุของอาการชา
- การรักษาอาการชาทั้งอาการปวดหรือสูญเสียความรู้สึก โดยการใช้ยา
- การรักษาอาการชาด้วยไฟฟ้า (Peripheral Magnetic Stimulation)
- การกายภาพบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการทรงตัวร่วมด้วย
- การหลีกเลี่ยงและป้องกันผลที่ตามมาเมื่อเกิดอาการชา เช่น การดูแลเท้าให้เหมาะสม ตัดเล็บให้สั้น ตรวจเท้าสม่ำเสมอเพื่อค้นหาแผลและให้การรักษาก่อนที่แผลจะลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อน การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม เช่น รองเท้ารัดข้อหรือรองเท้าหุ้มส้นที่มีขนาดพอดีในผู้ที่สูญเสียความรู้สึกที่เท้ามาก รวมถึงป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีอาการชามากๆ เช่น การได้รับบาดเจ็บจากความร้อน เป็นต้น
อาการชาอาจเป็นสัญญาณบอกโรคที่ซ่อนอยู่ หากผู้ป่วยที่มีอาการชามาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ นอกจากจะรักษาอาการชาเพื่อลดการรบกวนของผู้ป่วยแล้ว แต่ยังสามารถนำไปสู่การค้นหาโรคที่เป็นสาเหตุร่วม รวมถึงให้การวินิจฉัยก่อนเกิดอาการหรือภาวะแทรกซ้อนของโรคนั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีอาการชาตามร่างกาย โดยเฉพาะมือชาเรื้อรังที่ 4 ตำแหน่งดังกล่าว ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคอันตรายได้
อ้างอิง: mordeeapp , โรงพยาบาลสมิติเวช