โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

มือชาบอกโรค 'วัยทำงาน'ควรรู้ '4 ตำแหน่ง' มีโรคอะไรซ่อนอยู่

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อาการชาตามร่างกาย เป็นอาการที่ใครหลายๆ คนต่างเคยประสบพบเจอ ยิ่ง "วัยทำงาน และผู้สูงอายุ" พฤติกรรมการอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ หรือสภาพร่างกายที่เมื่ออายุมากขึ้นย่อมมีความเสื่อมเกิดขึ้น

"อาการมือชาแขนชา" หากเกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตราย ส่วนใหญ่เมื่อปรับเปลี่ยนท่าทาง ก็มักหายได้เองและอาจดูไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลมาก แต่หากพบบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า เช่น เท้าชา ปลายนิ้วชา มือชา มีอาการชาจนอาจทำให้สูญเสียความรู้สึก หรือมีความรู้สึกที่แสดงออกมากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ เหมือนเข็มทิ่ม ปวดแสบร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต

โดยลักษณะของอาการชาดังกล่าว อาจเป็นอาการของโรคหรือเป็นสัญญาณแรกของโรค เช่น อาการชาจากการขาดวิตามิน จากโรคเบาหวาน อาการชาที่เกิดจากบางสาเหตุ หากทิ้งไว้อาจทำให้เกิดการเสียหายของเส้นประสาทอย่างถาวร ทำให้การรักษาหรือฟื้นฟูกลับมา ต้องใช้เวลามากกว่าปกติ หรือรักษาแล้วอาจเกิดความพิการหลงเหลืออยู่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ชาบอกโรค!! อย่าปล่อยไว้ ชาปลายมือ ปลายเท้า สัญญาณเตือนโรค

สุขภาพแย่ เพราะ 'ฉี่บ่อย' ระวังภัยเงียบ สัญญาณเตือน 'โรคซ้อนเร้น'

4 ตำแหน่งมือชาที่อันตราย ควรรีบพบแพทย์

พญ.ปัทมาภรณ์ เนตรมุกดา อายุรแพทย์ เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง จากแอปฯ หมอดี เตือนว่า4 ตำแหน่งมือชา ที่ไม่ควรปล่อยไว้ หากมีอาการควรรีบพบแพทย์ ได้แก่

1. ชานิ้วโป้ง-ชี้-กลาง-นาง - มือชาตำแหน่งนี้ อาจเป็นสัญญาณเป็นโรคเส้นประสาทกดทับข้อมือ จากการใช้งานมือท่าเดิมนาน ๆ มักปวดตอนกลางคืน หรือ ตื่นนอน

2. ชาปลายนิ้วมือ หรือเหนือขึ้นไปคล้ายสวมถุงมือ - หากมือชาที่จุดดังกล่าว อาจเกิดจากปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน

3. ชาปลายเท้าและปลายมือ - มือชาตรงจุดนี้ อาจเกิดจากอาการปลายประสาทอักเสบหรือเสื่อม หรือภาวะขาดวิตามินบี 1 บี 6 หรือบี 12 ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากโรคไต โรคมะเร็ง และจากยาหรือสารพิษ เป็นต้น

4. ชาทั้งฝ่ามือและแขน ปวดร้าว - หากมือชาลักษณะนี้ อาจเป็นสัญญาณกระดูกต้นคอเสื่อม และกดทับเส้นประสาทได้

ถ้าพบว่าตนเองมีอาการมือชาในตำแหน่งที่น่าเป็นห่วงเหล่านี้ อย่านิ่งนอนใจ ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ หากพบว่าเป็นโรคร้ายแรง จะได้รักษาเยียวยาทัน

เช็กสาเหตุของอาการชาตามร่างกาย

1. อาการชาที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง คือ สมองหรือไขสันหลัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โดยตำแหน่งของอาการชามักเป็นด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย อาจมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรง ทรงตัวลำบาก โดยอาการมักเป็นฉับพลันทันที หรือ โรคปลอกประสาทส่วนกลางอักเสบ (Multiple Sclerosis) อาจพบอาการปวดตามตำแหน่งของประสาทที่มีอาการอักเสบ มีอาการเกร็ง รีเฟลกซ์การตอบสนองไวกว่าปกติร่วมกับอาการชาได้หลายตำแหน่งของร่างกาย

2. อาการชาที่เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย

- ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากกระดูกต้นคอเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน

- ภาวะการกดทับของเส้นประสาทในแขนขา โดยมักพบในตำแหน่งที่เส้นประสาทอยู่ตื้น และสัมพันธ์กับการนั่งหรือทำท่าเดิมนานๆ ทำท่าทางใดๆ ซ้ำๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นานๆ ถือของหนัก นักกีฬาที่ต้องใช้มือหรือข้อมือเป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการอ่อนแรง หรือมีกล้ามเนื้อในลีบได้หากถูกกดทับนานๆ

- การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ ทั้งนี้ ขึ้นกับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกรบกวนด้วย โดยมักจะมีอาการชาแบบสูญเสียความรู้สึกและอ่อนแรงร่วมด้วย

- โรคทางพันธุกรรม ที่ทำให้เส้นประสาทหรือปลอกประสาทส่วนปลายเสื่อม เช่น Charcot Marie Tooth Syndrome โดยผู้ป่วยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีอาการเกี่ยวกับปลายประสาท มักมีอาการผิดรูปของเท้าหรือมือร่วมด้วย

- ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ มักมีความเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางกาย เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคเบาหวาน หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้

- การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสงูสวัด ซิฟิลิส เฮชไอวี

- โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ

- โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ

- การขาดวิตามินในผู้ป่วยที่ดื่มสุราต่อเนื่อง ผู้ที่ทานมังสวิรัติ ผู้ป่วยที่ขาดสารอาหารเรื้อรังทานได้น้อย ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหารมีโรคทางเดินอาหารหรือมีโรคประจำตัวหลายโรค โดยเฉพาะ วิตามิน B1, B6, B12, E, ไนอะซิน

- การได้รับยาหรือสารบางอย่าง ที่ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เช่น ยาฆ่าเชื้อได้แก่ Metronidazole, Ethambutol, Amiodarone, Colchicine เป็นต้น

- ภูมิคุ้มกันแปรปรวนชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง

- ความเจ็บป่วยทางร่างกายที่รุนแรง

3. อาการชาที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น

- การอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนเลือดแดงเพื่อนำเลือดดีมาเลี้ยงกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนปลายลดลง นอกจากอาการชาบริเวณแขนขาแล้ว ยังมีอาการซีดลงอีกด้วยเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดแดงลดลง อุณหภูมิจึงลดลง ปวด และคลำชีพจรไม่ได้ เป็นต้น

- การอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้การนำกลับของเลือดและของเสียลำเลียงออกไม่ได้ มีความดันในแขน ขา สูงขึ้น และรบกวนการนำเข้าของเลือดแดงมาเลี้ยง ซึ่งส่งผลต่อเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาทในที่สุด โดยมักมีอาการแขน ขา บวม สีคล้ำ ชา ปวด อ่อนแรงได้ อาจจะคลำชีพจรของแขน ขาได้ถ้าอาการเป็นไม่มาก

4. โรคข้ออักเสบ อาการอักเสบของข้อ ส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียงกับข้อ ทำให้มีอาการชาร่วมด้วยได้

5.โรคกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดไปยังเส้นประสาท อาจพบอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว

อาการชาแบบไหนที่ควรรีบมาพบแพทย์

โดยทั่วไป อาการชาที่เกิดร่วมกับอาการปวด มักทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญหรือรบกวนชีวิตประจำวัน โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและบรรเทาอาการอันไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่อาการชาที่มีลักษณะร่วมอื่นๆ ที่ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ ทำการรักษา และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้

- อาการชาที่มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีอาการในตำแหน่งอื่นๆ เพิ่มขึ้น หรือตำแหน่งที่ต่อเนื่องกัน

- อาการชาที่มีลักษณะรับความรู้สึกของตำแหน่งไม่ได้ เสียการทรงตัว

- อาการชาที่มีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย

- อาการชาที่มีอาการผิดรูปหรือมีแผลร่วมด้วย

- อาการชาร่วมกับมือเท้าร้อนหรือเย็นผิดปกติ

ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยอาการ

1.การซักประวัติ อาการ ปัจจัยเสี่ยง หรือโรคที่อาจเป็นสาเหตุ รวมถึงยาที่ผู้ป่วยรับประทานในแต่ละวัน

2.การตรวจร่างกาย โดยการใช้ไม้จิ้มฟันปลายแหลม หรือการใช้สำลีสัมผัสเบาๆ ที่ผิวหนัง

3.การตรวจเพิ่มเติม โดยการส่งตรวจแบบเฉพาะของเส้นประสาท ได้แก่ การตรวจวินิจฉัยไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study – NCS) เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดของโรค การตรวจเพิ่มเติมทางระบบประสาทอื่นๆ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคดังที่กล่าวข้างต้น เช่น ภาพวินิจฉัยแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง กระดูกไขสันหลัง บางรายอาจมีอาการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง รวมถึงการตรวจเลือดเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น การตรวจน้ำตาล/น้ำตาลสะสมในเลือด การตรวจระดับวิตามินบีในร่างกาย การตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน การตรวจหาภาวะติดเชื้อบางอย่าง เป็นต้น

การรักษาอาการชา

จากสาเหตุของอาการที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าการดูแลรักษาอาการชาเบื้องต้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทานวิตามินบี เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีสาเหตุการเกิดอาการชานั้นมีมากมาย ซึ่งแนวทางการรักษาอาการชา มีดังนี้

- เน้นการรักษาตามสาเหตุของอาการชา

- การรักษาอาการชาทั้งอาการปวดหรือสูญเสียความรู้สึก โดยการใช้ยา

- การรักษาอาการชาด้วยไฟฟ้า (Peripheral Magnetic Stimulation)

- การกายภาพบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการทรงตัวร่วมด้วย

- การหลีกเลี่ยงและป้องกันผลที่ตามมาเมื่อเกิดอาการชา เช่น การดูแลเท้าให้เหมาะสม ตัดเล็บให้สั้น ตรวจเท้าสม่ำเสมอเพื่อค้นหาแผลและให้การรักษาก่อนที่แผลจะลุกลามหรือมีภาวะแทรกซ้อน การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม เช่น รองเท้ารัดข้อหรือรองเท้าหุ้มส้นที่มีขนาดพอดีในผู้ที่สูญเสียความรู้สึกที่เท้ามาก รวมถึงป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีอาการชามากๆ เช่น การได้รับบาดเจ็บจากความร้อน เป็นต้น

อาการชาอาจเป็นสัญญาณบอกโรคที่ซ่อนอยู่ หากผู้ป่วยที่มีอาการชามาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ นอกจากจะรักษาอาการชาเพื่อลดการรบกวนของผู้ป่วยแล้ว แต่ยังสามารถนำไปสู่การค้นหาโรคที่เป็นสาเหตุร่วม รวมถึงให้การวินิจฉัยก่อนเกิดอาการหรือภาวะแทรกซ้อนของโรคนั้นๆ ได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีอาการชาตามร่างกาย โดยเฉพาะมือชาเรื้อรังที่ 4 ตำแหน่งดังกล่าว ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคอันตรายได้

อ้างอิง: mordeeapp , โรงพยาบาลสมิติเวช

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

โตโยต้า เล็งเพิ่มส่งออก รถตู้ Toyota Commuter ตลาดเอเชีย

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'โฆษก ภท.' แนะ 'รัฐบาล' ยกปัญหาเขตแดน เข้าสภา กันเกิดปัญหาอื่น

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘พร้อมพงศ์’ ฉะกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน เสี้ยมรัฐบาลชนกองทัพ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'ผู้นำฝ่ายค้าน' มองโพล 'คนไทย' ต้องการเปลี่ยนตัวผู้นำ

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

เปิดลิสต์ อาชีพมาแรงในอีก 5 ปี ผ่านผลสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

กรุงเทพธุรกิจ

ผักและผลไม้ 5 ชนิดที่ช่วยลดเอนไซม์ แถมระบายความร้อนได้ดี

News In Thailand

แพทย์เฉลยเเล้ว!! 1 ผลไม้ กินเช้าเป็นทอง บ่ายเป็นเงิน เย็นคือยาพิษ

News In Thailand

สาวใหญ่นั่งกินข้าว จู่ๆ ไตวายเฉียบพลัน รีบหามส่ง รพ. แพทย์เตือนผัก รสชาตินี้มีพิษ ห้ามกิน

สยามนิวส์

พลาดโอกาสรักษา! 66% ผู้ป่วยเอเชียแปซิฟิกเผชิญความล่าช้า 47 วัน

ฐานเศรษฐกิจ

เชื่อหรือไม่ คาเฟอีนจาก "ชาเขียว" ช่วยกระตุ้นสมองและเผาผลาญไขมัน

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...