“เศรษฐีสงคราม” คนรวยจากกักตุน-ค้าขายตลาดมืด ห้วงวิกฤตของแพงขึ้นแค่ไหน?
ในสถานการณ์วิกฤต ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาด ปฏิกิริยาต่อเนื่องตามมาก็คือ “การกักตุนสินค้า” และคนที่รวยขึ้นในพริบตาที่เรียกว่า “เศรษฐีสงคราม”
นี่เป็นบรรยากาศที่คล้ายๆ กับเวลาเกิดสงคราม ด้วยสิ่งของที่เคยมีเคยกินเคยใช้กันในยามปกติ “ขาดแคลน” เพราะความตื่นตระหนกของประชาชนที่ซื้อหามากกว่าปกติ เพราะพ่อค้ากักตุนเพื่อสร้างรายได้และกำไรที่มากขึ้น
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอนำผลงานวิชาการของ ผศ.ดร.พวงทิพย์ เกียรติสหกุล จากบทความ “ชีวิตราษฎรไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูราพา : มุมมองผ่านการเข้ามาควบคุมทางรถไฟสายใต้ของกองทัพญี่ปุ่น” (วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร ฉบับภาษาไทย, ปีที่ 30 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2553) สรุปมาให้ทุกท่านช่วยกันพิจารณา
เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาควบคุมทางรถไฟสายใต้ในสงครามมหาเอเชียบูรพา ประชาชนในภาคใต้ต้องเผชิญก็คือ “สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูง” เพราะกำลังการผลิตที่มีอยู่เดิมต้องรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ว่าจะเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น, เชลยศึกสัมพันธมิตร และกรรมกรมาลายูและจีน เพราะการกว้านซื้อของเหล่านายหน้าจนสินค้าขาดตลาด แล้วค่อยทำกำไรด้วยการตั้งราคาขายได้ตามที่ต้องการ
การจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
กองทัพญี่ปุ่นดำเนินการจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างไร
เรื่องเสบียงกองทัพนั้น ญี่ปุ่นดำเนินการโดยให้ “กองจัดหาอาหาร” ที่จะทำหน้าที่ติดต่อกับพ่อค้าเอกชนญี่ปุ่นที่เคยทำการค้าอยู่ในไทยเป็นผู้จัดซื้อจัดหา โดยพ่อค้าที่เป็นนายหน้ามักใช้วิธี “กว้านซื้อ” สินค้าต่างๆ ในปริมาณมากตามที่กองทัพต้องการจากพ่อค้าใหญ่น้อยต่างๆ ด้วยราคาที่สูงกว่าที่พวกเขาขายอยู่ทั่วไป แล้วนำมาขายต่อให้กับกองทัพญี่ปุ่นในราคาที่แพงขึ้น บรรดาพ่อค้าจึงชอบที่จะขายให้นายหน้าของกองทัพมากกว่า สินค้าที่ประชาชนเคยกินเคยใช้จึงเกิดปัญหาขาดแคลน และมีราคาสูงขึ้น
อนุกรรมการเศรษฐกิจของไทยพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยการรับเป็นฝ่ายจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคให้กองทัพญี่ปุ่นแทน เพื่อจะได้สามารถควบคุมราคาซื้อของกองทัพญี่ปุ่นได้ หากในทางปฏิบัติ 2 บริษัทรายใหญ่ที่ได้รับอนุมัติจากกองทัพ (คือบริษัทมิตซุยบุซซันไกซา และบริษัทมิตซูบิชิโชจิ ) เป็นผู้จัดซื้อตัวจริง ที่ดำเนินการติดต่อกับร้านค้าที่คุ้นเคยไว้ล่วงหน้า แล้วส่งบัญชีที่ต้องการซื้อมาให้อธิบดีกรมพาณิชย์อนุมัติเท่านั้น
ตลาดมืด
หากปริมาณสินค้าที่ยืนขอไม่ได้รับการอนุมัติ พวกเขาก็จะใช้ “ตลาดมืด” แก้ปัญหา
ดังเช่นกรณีนี้ จดหมายลงวันที่ 31 ธันวาคม 2484 ของบริษัทมิตซุยบุซซันไกซา ขออนุญาตซื้อน้ำตาลจำนวน 6,820 กระสอบหากได้รับการอนุมัติเพียง 2,000 กระสอบ ส่วนที่ขาดก็จะไปจบที่การกว้านซื้อจาก “ตลาดมืด” ในราคาที่สูงกว่าปกติ ผลที่ตามมาก็คือประชาชนไม่มีสินค้าใช้หรือมีแต่ในราคาที่แพงกว่าปกติหลายเท่าตัว
ผู้เขียน (ผศ.ดร.พวงทิพย์ เกียรติสหกุล) รวบรวมข้อมูลที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า ของที่บ่นๆ ว่า “แพงขึ้น” นั้นมันขนาดไหน
“เอกสารชั้นต้นของคณะรัฐมนตรีที่ได้ทําการสํารวจ และจัดทําบัญชีเปรียบเทียบราคาขายปลีกเครื่องอุปโภคบริโภค ของส่วนกลางในช่วงก่อนสงคราม (1 ธันวาคม 2484) กับในระหว่างสงคราม (31 มีนาคม 2487) พบว่า ราคาเครื่องอุปโภคสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 170 เปอร์เซ็นต์**
ซึ่งสามารถแยกเป็นราคาข้าวสูงขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์ ปลา 191 เปอร์เซ็นต์ ผักและพืชผล 307 เปอร์เซ็นต์ เนื้อสัตว์ต่างๆ 192 เปอร์เซ็นต์ ของชําต่างๆ 181 เปอร์เซ็นต์ แป้ง 109 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเครื่องอุปโภคราคาสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 1,226 เปอร์เซ็นต์ แยกเป็นของใช้เบ็ดเตล็ดสูงขึ้น 848 เปอร์เซ็นต์ เครื่องนุ่งห่มสูงขึ้น ถึง 1,604 เปอร์เซ็นต์ (สจช. [2] สร.0201.98.6/8 2485-2488)…” [เน้นโดยผู้เขียน]
เศรษฐีสงคราม
รัฐบาลไทยในเวลานั้น มอบหมายให้กระทรวงหมาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ หาแนวทางก้ไขปัญหาดังกล่าว วันที่ 26 ธันวาคม 2485 จึงมีการออกประกาศ “ระเบียบการปันส่วนเครื่องอุปโภคบริโภคบางอย่าง (ฉบับที่ 1)” เพื่อแบ่งเฉลี่ยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่ประชาชนได้ตามสมควรและทั่วถึง และเพื่อสนับสนุนการตั้งร้านจำหน่ายสินค้าของไทย (ในช่วงแรกกำหนดเกณฑ์ปันส่วนสินค้าจำเป็นมี 3 ชนิด คือ น้ำตาลทรายขาว, ไม้ขีดไฟ และน้ำมันก๊าด)
แต่ในทางปฏิบัติ ระเบียบดังกล่าวยังคงมีปัญหายุ่งยาก เช่น ประชาชนย้ายที่อยู่ไม่ได้แจ้งอำเภอ คณะกรรมการปันส่วนประจำอำเภอยังคงแบ่งจำนวนสินค้าให้แก่ร้านจำหน่ายในจำนวนเท่าเดิม ร้านจำหน่ายบางแห่งก็นำสินค้าที่เหลือออกขายในตลาดมืด, สินค้าที่ได้รับไม่เต็มตามจำนวนที่ระบุ ร้านจำหน่ายหาทางออกไม่ให้ตัวเองขาดทุนด้วยการยักยอกสินค้าปันส่วนไปขายเกินราคาหลังร้านแทน ฯลฯ
นอกจากนี้ การกว้านซื้อสินค้าของกองทัพญี่ปุ่นบางครั้งก็ไม่ได้เพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารให้ทหารญี่ปุ่นในไทยเท่านั้น แต่ยังกว้านซื้อเพื่อส่งออกไปทหารญี่ปุ่นในมลายูอีกด้วย โดยแอบอ้างว่าเป็นของกองทัพเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระอากรส่งออก นั่นทำให้สินค้าที่มีจำกัดขาดแคลนรุนแรงมากยิ่งขึ้น ราคาสินค้าแพงยิ่งขึ้น ประชาชนเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในสงครามแต่ละครั้ง มักมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่ร่ำรวย, ก้าวหน้า, มีกำไร ฯลฯ จนถึงกลายเป็นเศรษฐีในระยะเวลาอันสั้น หรือ “เศรษฐีสงคราม”
แต่ใช่ว่าเวลาอื่นๆ ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศลำบาก ยากแค้น จากภัยธรรมชาติ, โรคระบาด ฯลฯ จะไม่มีคนฉวยโอกาสจนร่ำรวยในชั่วข้ามคืน ซึ่งพวกเขาก็คือ “เศรษฐีสงคราม”
อ่านเพิ่มเติม :
- “ตาคลี” ถิ่นจีไอ การเข้ามาของทหารอเมริกันและผลพวงจากสงครามเวียดนาม
- สหรัฐอเมริกาส่งกองทัพเข้าร่วมสงครามเกาหลี ผ่านมติสหประชาชาติอย่างเอกฉันท์?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ครั้งในระบบออนไลน์เมื่อ 11 มีนาคม 2563
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “เศรษฐีสงคราม” คนรวยจากกักตุน-ค้าขายตลาดมืด ห้วงวิกฤตของแพงขึ้นแค่ไหน?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com