สแกนหุ้น SET50 ขึ้นแรง-ลงลึก รอบเดือนส.ค. GPSC นำทีม COM7-KTB วิ่งฉิว!
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมข้อมูลการเคลื่อนไหวของหุ้นในกลุ่ม SET50 ช่วงเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นที่สุด ได้แก่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปิดที่ 33.50 บาท เพิ่มขึ้น 8.50 บาท หรือ 25.37% จาก 29 ก.ค. ตามด้วย บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ที่เพิ่มขึ้น 3.70 บาท หรือ 16.25% ปิดที่ 26.50 บาท และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ปรับขึ้น 3.00 บาท หรือ 15.79% ปิดที่ 22.00 บาท สะท้อนแรงซื้อจากพื้นฐานแข็งแกร่งและแนวโน้มกำไรที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
สำหรับหุ้นที่โดดเด่นอื่นๆ ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เพิ่มขึ้น 1.20 บาท หรือ 12.24% ปิดที่ 11.00 บาท, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC พุ่งขึ้น 2.50 บาท หรือ 12.15% ปิดที่ 23.10 บาท และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่ขยับขึ้น 0.75 บาท หรือ 10.34% ปิดที่ 8.00 บาท สะท้อนแรงหนุนจากการฟื้นตัวของกำไรและกระแสข่าวเชิงบวกด้านธุรกิจ
ขณะที่กลุ่มธนาคารยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาด โดยธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 7.63% ปิดที่ 49.50 บาท และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ปรับขึ้น 8.00 บาท หรือ 4.88% ปิดที่ 172.00 บาท สอดคล้องกับกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสินทรัพย์การเงิน
อย่างไรก็ตาม มีหุ้นหลายตัวที่เผชิญแรงกดดันด้านราคา โดยบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ปรับตัวลดลง 3.00 บาท หรือ 10.42% ปิดที่ 25.75 บาท, บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ร่วงลง 0.38 บาท หรือ 10.23% ปิดที่ 3.34 บาท และบริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET ร่วงลง 0.85 บาท หรือ 12.76% ปิดที่ 5.80 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกแรงขายทำกำไรและปัจจัยกดดันเฉพาะตัว
นอกจากนี้ยังมีหุ้นขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก เช่น SCC ปิดที่ 201.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท หรือ 6.96%, EGCO ปิดที่ 168.00 บาท เพิ่มขึ้น 10.50 บาท หรือ 6.67% และ ADVANC ปิดที่ 294.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 0.68% ซึ่งช่วยประคองภาพรวมตลาด แม้ว่าหุ้นในบางกลุ่มจะเผชิญแรงขายก็ตาม
สำหรับการเคลื่อนไหวในเดือนสิงหาคมสะท้อนการสลับกลุ่มลงทุนของนักลงทุน โดยกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคารเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารและค้าปลีกยังได้รับแรงซื้อบางส่วน ด้านหุ้นที่อ่อนตัวลงส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยพื้นฐานเฉพาะบริษัทและแรงขายทำกำไรหลังราคาปรับขึ้นก่อนหน้า โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามตารางด้านล่างนี้