“หมอสุภัทร” หนุนปฎิรูประบบข้าราชการ ช่วย“ข้าราชการน้ำดี”ทำงานคล่องตัว
นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้กล่าวเปิดใจว่า ในช่วงการบุกกรุงไม่ใช่ความเห็นของตนเองคนเดียวซึ่งตอนนั้นตนเองอยู่ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบทแต่เราประชุมกันหลายรอบในกลุ่มของแพทย์ที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งเราก็มีการหารือกันว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ รับไม่ไหวแล้วจริง ๆ ซึ่งโรงพยาบาลไม่มีเตียงที่จะรับคนไข้แล้วปิดประตูห้องฉุกเฉินก็ยังเข้าไม่ได้และคนตายชัดเจนเราจะทำอย่างไรกันได้บ้างเพื่อนเพื่อนเราที่อยู่จุฬาศิริราช รามา พระมงกุฏ เราก็คุยกับเขาเขาก็บอกชัดเจนว่าไม่ไหวแล้ว รักษาไม่ไหวแล้ว แต่เราพบว่าไม่มีใครลงไปแก้ปัญหาในชุมชน โดยการตรวจ ATK ซึ่งในขณะเดียวกันต่างจังหวัดมีการตรวจ ATK เพื่อควบคุมโรค
นพ.สุภัทร กล่าวต่อว่า สุดท้ายเราก็ได้ข้อสรุปว่ามาบุกกรุงกันเถอะ และไม่น่าเชื่อความยากของการบุกกรุงก็คือไม่ใช่พวกตนเอง แต่คือแพทย์จะลงพื้นที่ตรงไหน ยานนาวาก็ไม่รู้จัก ดินแดง คลองเตย พอรู้แต่เราจะลงตรงไหน ซึ่งก็ได้มีการประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ก.ค. 64 เราตั้งใจจะบุกกรุงในวันที่ 14-16 ก.ค. 64 เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมาก ส่วนเสาร์และอาทิตย์นั้นเราได้ติดต่อกับทีมชุมชน โดยได้ข้อเสนอให้ลงสลัมเท่านั้น ลงชุมชนแออัดเป็นหลัก ซึ่งเราก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่กรุงเทพคนที่ลำบากที่สุดก็คือคนที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนแออัด และตรงนี้ก็ได้ถูกแก้ไขไปโดยทีมชุมชนก็ได้รับผิดชอบในจุดนี้ โดยประสานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการจัดคิว หาสถานที่ และจัดทำข้อมูล
ต่อมาจะเอา ATK ที่ไหนเพราะในยุคนั้น เพราะในยุคนั้นพึ่งเป็นการเริ่มใช้ ATK และ ATK มีราคาสูง ซึ่งตอนนั้นตนเองได้เริ่มใช้แล้วที่โรงพยาบาลจะนะวันละ 500 คน ใช้หมอ 5 คน ตรวจวันละ 500 คน คนละ 100 ตรวจไปครึ่งวัน คนละ 100 คน อย่างมีความสุข เราก็มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้สามารถตรวจสอบได้และรายงานผลได้แม่นยำ ต่อมาจึงได้ทำการหาซื้อ ATK ซึ่งในสถานการณ์ตอนนั้นทุกคนช่วยกัน ซึ่งบริษัทแห่งหนึ่งได้ช่วยเราอย่างมากเค้ายอมลดราคาจาก 350 เหลือ 230 ภายใต้เงื่อนไข และพร้อมส่งถึงหน้างานทุกที่ในทุกสถานการณ์โดยไม่จำกัดจำนวน
สิ่งที่เราไม่เคยบอกสังคมในตอนนั้น คือระบบปฏิบัติการหลังบ้านทุกคนก็จะเห็นหน้าบ้านที่มีแพทย์ใส่ชุด PPE ไปออกตรวจ ATK ทั่วกรุง ซึ่งรอบแรกเรามา 3 วัน 6 ทีม ตรวจไป 20,000 คน พบเชื้อ 16% รอบ 2 ไปตรวจอีก 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 21-23 ก.ค. 64 มี 16 ทีมตรวจไปกว่า 30,000 คนต่อมาเราก็ยังคงพบว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นและทีมชุมชนก็เรียกร้องอย่างมากว่าให้มาอีกสักรอบรวมพลังกัน จนมีรอบ 3 อีก 7 วันตั้งแต่วันที่ 4-10 ส.ค. 64 จำนวน 45 ทีม ทีมใหญ่มากซึ่งเราไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ โดยเราได้รวมพลังตรวจประชาชนเป็นจำนวนมากกันอย่างเต็มที่
นพ.สุภัทร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงนั้นถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2566 โดยในระยะเวลาเกือบ 2 ปีผ่านไป ซึ่งแพทย์ชนบทมีทรรศนะบริหารจัดการสู้ภัยโควิด-19 ที่แตกต่างจากรัฐบาลจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเราเคยทักเรื่องวัคซีน Sinovac ใน 12 ล้านโดสสุดท้าย ซึ่งในช่วงปี 65 ที่โควิดเริ่มซา แต่กระทรวงสาธารณสุขยังมีความพยายามในการจัดซื้อวัคซีน Sinovac อีก 12 ล้านโดส เป็นจำนวน 6,000 ล้านบาท ขณะที่ยังมีวัคซีนตกค้างในโรงพยาบาลประกอบกับคนไม่ยอมฉีดแล้ว ซึ่งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะกรรมการมีความเห็นว่าควรจัดซื้อไม่เกิน 3-6 ล้านโดส แต่สุดท้ายมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบที่ 12 ล้านโดส ตนเองจึงมองว่า เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ และสุดท้ายก็มาทิ้งจริง ๆ คือ เอาวัคซีนที่ตกค้าง เอาไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อนำไปฉีดให้ประชาชน แต่ในความจริงแล้ว แต่ละโดสของวัคซีนใกล้หมดอายุมากแล้ว
ทั้งนี้ นพ.สุภัทร กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า ตนเองรู้สึกว่าข้าราชการเป็นอาชีพที่มีความหมาย และยังมีข้าราชการในพื้นที่ดี ๆ อีกมากมาย แต่กลับถูกจำกัดโดยกฎระเบียบจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ ซึ่งตอนแรกตนเองเข้าใจว่าที่ตนเองโดนสอบสวน และลงโทษด้านวินัยเอามีดมาปักหลังไว้ เพื่อจะได้พูดมากไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะให้ออกจากราชการ จนสิงหาคม 2567 ตนเองได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรไปจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากกรรมการสอบสวนวินัย จึงทำหน้าที่ตนต่อไป