การลอบสังหารฮุน เซนกับลูกจะช่วยหยุดสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่?
เปล่า ผมไม่ได้ต้องการจะฆ่า ฮุน เซน และพลพรรค เพราะสิ่งที่ผมเรียกร้องมาตลอดตั้งแต่ก่อนการปะทะจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ คือการให้ไทยนำตัวคนเหล่านี้ไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในฐานะอาชญากรต่อมนุษยชาติ และต่อมาเมื่อเกิดการประทะผมก็ชี้ว่าควรนำตัวไปขึ้นศาลโลกในฐานอาชญากรสงคราม
ไม่มีความคิดที่จะเชียร์ให้ฆ่าสองพ่อลูกนี้เลย
และผมเชื่อว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพก็ไม่น่าจะมีความคิดทำนองนี้ด้วย แม้มันจะอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของ 'แผนการรบ' ตามที่ประเทศๆ ก็ควรจะมีกันเวลาทำสงคราม (นั่นคือจัดการกับ 'หัว' หรือ 'ขุน' ของประเทศนั้นๆ) แต่มันควรเป็นแผนการที่กำหนดไว้เท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำ
ก็อย่างที่เราเห็น ทหารไทยรบแบบสุภาพชน ไม่เข่นฆ่ามั่วซั่วเหมือนกองทัพตระกูลฮุน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยสันดานชอบปล่อยข่าวปลอม หรือเพราะความระแวงของกัมพูชาเอง ทำให้สื่อเขมรออกมาปล่อยข่าวว่าไทยมีแผนการหย่อนระเบิดสังหาร 'สมเด็นเตโช' และ 'สมเด็จบวรธิบดี'
เพราะมีการอ้างจาก KPT English สื่อกัมพูชาในเครือสื่อภาษาเขมร "กัมปูเจีย ทเมย" ว่า "สำนักข่าวกรองต่างประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ระบุว่า ไทยมีแผนที่จะนำเครื่องบินโจมตีเบา AT-6TH ซึ่งติดตั้งระเบิดนำวิถีด้วย GPS ที่ผลิตในเกาหลี มาใช้ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและหลบหลีกได้ง่ายกว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ทั่วไป เพื่อลอบสังหารสมเด็จเดโชฮุน เซนและสมเด็จบวรธิบดีฮุน มาเนต"
จากนั้นพรรณนาสรรพคุณ 'เครื่องมือลอบสังหาร' ว่า "เครื่องบินโจมตีเบา AT-6TH ได้รับการอธิบายว่ามีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้กองทัพกัมพูชาสกัดกั้นด้วยขีปนาวุธได้ยาก รายงานยังระบุอีกว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยได้จัดหาเครื่องบิน 8 ลำ ขีปนาวุธ 200 ลูก และเครื่องบินอีก 4 ประเภท ซึ่งทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมและจัดซื้อจากเกาหลีใต้ ขีปนาวุธนำวิถีด้วย GPS เหล่านี้มีสมรรถนะสูงและอันตราย โดยสามารถยิงหรือทิ้งลงเป้าหมายที่กำหนดได้โดยตรง"
สื่อเขมรอ้าง 'สำนักข่าวกรองต่างประเทศ' แต่ไมได้บอกว่าใคร นี่เป็นกลเม็ดหนึ่งของ "การปล่อยข่าวโดยใช้อำนาจความเป็นสื่อ" นั่นคือ จะอ้าง 'แหล่งข่าว' เพื่อเป็นเกราะกำบังในการระรายข้อมูลเท็จ เนื่องจากการอ้าง 'แหล่งข่าว' เป็นข้อแก้ตัวของสื่อที่จะปกปิดแหล่งที่มาของข้อเท็จจริงได้ และยิ่งเป็นเรื่องเท็จจะย้ำว่าเป็น 'แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้'
ตราบใดที่เราไม่เห็นที่มาของข่าว หรือเห็นแล้วและระบุตัวตนที่น่าเชื่อถือได้ ตราบนั้นข่าวที่ว่านี่คือ 'ข่าวโคมลอย'
อย่างไรก็ตาม เป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า "การลอบสังหารผู้นำประเทศจะช่วยหยุดสงครามหรือไม่?"
เมื่อเร็วๆ นี้ก็ยังมีแนวคิดเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อเดือนมิถุนายนนี้เอง ระหว่างที่อิสราเอลกับอิหร่านกำลังซัดกัน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน แห่งอิสราเอล กล่าวว่าการลอบสังหารผู้นำสูงสุดอิหร่าน อาลี คาเมเนอี จะ "ยุติ" ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
'สมมติฐาน' ของเนทันยาฮูก็คือการลอบสังหารผู้นำอิหร่าน “จะไม่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น แต่มันจะยุติความขัดแย้ง” (เนทันยาฮูกล่าวระหว่างการสัมภาษณ์กับ ABC News) และบอกว่า “‘สงครามตลอดกาล’ คือสิ่งที่อิหร่านต้องการ และพวกเขากำลังนำเราไปสู่สงครามนิวเคลียร์ อันที่จริง สิ่งที่อิสราเอลกำลังทำอยู่คือการป้องกันไม่ให้เกิดสงครามนี้ขึ้น ยุติการรุกรานนี้ และเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อต้องยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังชั่วร้าย”
สิ่งที่ผู้นำอิสราเอลเชื่อก็คือ หากรุกฆาต 'ขุน' ฝ่ายตรงข้ามแล้ว ‘สงครามตลอดกาล’ ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านก็จะยุติลง (หรืออย่างน้อยก็ไม่ขยายวงเป็นมหาสงคราม)
สมมติฐานของเนทันยาฮูก็คือ หากผู้คนตายไปคนเดียวคนทั้งประเทศจะเปลี่ยนใจ เรื่องนี้ก็นับว่ามีเหตุผลหากฟังข่ากรองตะวันตกที่ระบุว่า ประชาชนอิหร่านไม่ค่อยจะพอใจรัฐบาลตนเองที่เข้มงวดกับเรื่องภายในประเทศ พอเกิดสงครามกับอิสราเอลมีผู้คนล้มตายมากมายก็ยิ่งไม่พอใจอีก
แต่ฝ่ายตรงข้ามมักจะคิดอะไรแบบนี้กันหมด นั่นคือ เชื่อว่าฆ่าผู้นำแล้วประชาชนจะขวัญเสียหรือเปลี่ยนท่าทีต่อสงคราม
ดังนั้น ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่จึงมีการลอบสังหาร (และพยายามทำแบบนั้น) หลายครั้ง แต่เท่าที่เห็น ผลที่ตามมามักจะตรงกันข้าม
คือ นอกจากผู้นำจะไม่ "ตายสนิท" แล้ว สงครามยังบานปลายอีกด้วย
เราจะเห็นได้จากการที่อิสราเอลใช้วิธีลอบสังหารกองกำลังต่างๆ ในตะวันออกกลางที่เป็นปฏิปักษ์กับตน แต่แม้จะเสียหัวหน้าไป กองกำลังเหล่านี้ก็ไม่ได้ตายจากไปด้วย แม้จะอ่อนแอลงไปมาก แต่ก็พร้อมจะ "ต่อหัว" และเคลื่อนไหวได้อีกในอนาคต
ในกรณีของอิหร่าน สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ผู้นำสูงสุด แต่เป็น "ความรักชาติ" และการมองว่า "อิสราเอลคือศัตรู" ดังนั้นต่อให้อิสราเอลและชาติตะวันตกพยายามลอบสังหาร หรือกระทั่งพยายามเปลี่ยนรูปแบบการปกครองก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความชิงชังตะวันตกหมดไป
สิ่งที่ต้องกำจัดจึงไม่ใช่ประมุขรัฐ แต่เป็นอุดมการณ์ของรัฐ
เช่นกัน แม้ไทยจะมีแผนลอบสังหารฮุน เซน และลูกจริงๆ แผนการนั้นก็คือว่า "ใช้การไม่ได้" ตั้งแต่ก่อนลงมือด้วยซ้ำ และจะต้องล้มเหลวในที่สุด
เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนความบาดหมางระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ใช่ตัวผู้นำ แต่เป็นการสร้าง 'อุดมการณ์เกลียดชังไทย' ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ 'ยุคสังคมราษฎร์นิยม' ที่ส่งเสริมโดยนโรดม สีหนุ ซึ่งเสี้ยมให้คนเขมรเกลียดไทย มองไทยเป็นผู้รุกราน และมองไทยเป็นผู้ขโมยดินแดนและวัฒนธรรมเขมร
ต่อมาเมื่อสีหนุถูกโค่นโดยนายพลลน นล เข้าสู่ยุค 'สาธารณรัฐกัมพูชา' แม้ ลน นล จะมีสีหนุเป็นเสี้ยนหนามทางการเมือง แต่เขาก็สืบทอดแนวคิดนี้ต่อไปโดยปลุกความต้องการดินแดนของไทยทั้งอีสานใต้และน่านน้ำไทยรวมถึงเกาะกูด
กระทั่งกัมพูชาผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามกลางเมืองจนถึง 'ยุคระบอบฮุน เซน' ก็ยังสืบทอดแนวคิด 'อุดมการณ์เกลียดชังไทย' เรื่อยมาไม่หยุดแถมยังรุนแรงมากขึ้นกระทั่งกลายเป็นการเผาสถานทูต การปะทะชายแดนหลายครั้ง
เราจะเห็นว่ากัมพูชาเปลี่ยนหัวเปลี่ยนประมุขมาหลายหน แต่คนก็ยังงมงายใน 'อุดมการณ์เกลียดชังไทย' ที่อันตรายต่อความสัมพันธ์สองประเทศอยู่ร่ำไป
ดังนั้น ต่อให้ลอบสังหารตระกูลฮุนทั้งโคตรและเก็บพวกเครือข่ายฮุนทั้งหมด ก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่ได้จัดการต้นตอที่แท้จริงของความขัดแย้ง มิหนำซ้ำคนเขมรจะยิ่งจงเกลียดจงชังไทยเข้าไปอีก คราวนี้ ต่อให้ไร้แม่ทัพดีๆ คนเขมรก็จะยังถวายชีวิตเข้าสู้กับไทย
แผนการนี้จึงไม่สมเหตุสมผลเอาเลย
นี่ยังไม่ต้องกล่าวว่า การลอบสังหารอาจจะผิดกฎหมายระหว่างประเทศเอาง่ายๆ แต่ก็แน่ล่ะ อิสราเอลย่อมทำได้โดยไม่ต้องถามสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ เพราะประเทศนี้เห็นหัวกฎหมายระหว่างประเทศเทศทีไหน?
และในสงครามรัสเซีบ-ยูเครน ก็มีการลอบสังหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น ยูเครนจ้างมือสังหารไปเก็บแม่ทัพของฝ่ายรัสเซีย แต่สงครามนี้ก็แหกกฎหมายระหว่างประเทศอยู่หลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อไทยเป็น 'นักรบสุภาพบุรุษ' ที่เชื่อฟังกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด (แม้เขมรจะเล่นนอกเกมตลอดก็ตาม) ก็ควรทราบไว้ว่าการลอบสังหารมันอาจจะผิดกติกาโลก และทำให้มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาชาวโลก
แมรี เอลเลน โอคอนเนลล์ (Mary Ellen O'Connell) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและการศึกษาสันติภาพระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยนอเทรอดาม กล่าวว่า "หลักการทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้กำลังร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศนั้นปฏิเสธการลอบสังหาร"
แต่ "กระนั้น ประเทศต่างๆ เช่น อิสราเอล รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ยังคงใช้กำลังดังกล่าวอยู่ ประเทศอื่นๆ อีกไม่กี่ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อินเดีย เกาหลีเหนือ ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร ได้ใช้กำลังดังกล่าวในคดีฉาวโฉ่และโด่งดังหลายคดี"
ดังนั้น แม้มันจะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ประเทศใหญ่ๆ มักจะลืมหลักนิติธรรมเวลารักษาผลประโยชน์ของตน (แต่จะนึกถึงหลักนิติธรรมเวลาตัวเองจะเสียผลประโยชน์หรือต้องการกำจัดฝ่ายตรงข้ามด้วยนิติสงคราม)
ถามว่าไทยทำเป็นลืมๆ กฎหมายระหว่างประเทศบ้างแล้วทำการลอบสังหารได้ไหม? ตอบว่าก็ได้ แต่ผลของมันไม่เหมือนการที่ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพราะผลของการไม่ยอมรับอำนาจศาลก็ยังถือว่าอยู่ในกติการะหว่างประเทศ แต่การลอบสังหารถือเป็นการละเมิดทุกกติกา
ประเทศด้อยอำนาจอย่างเราจึงไม่มีโอกาสที่จะแบบนั้นได้ ยังไม่นับว่าการลอบสังหารศัตรูของไทยโดยที่บรรยากาศการเมืองของประเทศนั้นไม่เป็นคุณกับไทย ถือว่าเป็นปฏิบัติการที่ไร้ความหมาย แถมยังจะทำให้เราเสียเปรียบเข้าไปอีก
การฆ่าคนๆ เดียวเพื่อหยุดการฆ่าคนหลายพันหลายหมื่น เป็นสิ่งที่สมเหตุผลหรือไม่? นี่เป็นปัญหาเชิงจริยศาสตร์ที่นักศึกษาปรัชญา นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ต้องเคยผ่านกันมาบ้าง
และการจะฆ่าคนๆ หนึ่งเพื่อหยุดสงคราม ถือเป็นสิ่งธรรมหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่รบกวมโนสำนึกของผู้นำประเทศทุกหนแห่ง
แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจมากกว่าก็คือ การฆ่าคนๆ เดียวมันช่วยหยุดสงครามได้จริงหรือ?
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพถ่ายสระน้ำนี้ถ่ายและเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยสำนักข่าว Agence Kampuchea Presse (AKP) แสดงให้เห็นประธานวุฒิสภากัมพูชา ฮุน เซน (ที่ 2 จากขวา) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต (ซ้าย) และรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการจัดการที่ดิน การวางผังเมือง และการก่อสร้าง (MLUPC) ซาย ซัมอัล (ขวา) กำลังไหวผู้คร ณ งานจรดพระนังคัล ที่จังหวัดกำปงชนัง (ภาพโดย POOL / AFP)