KTC โชว์กำไรสุทธิ Q2/68 แตะ1.89พันล. โต 3.8% สร้างฐานการเงินแกร่ง
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของภาคการส่งออกและการผลิตที่ยังเปราะบาง ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน อุตสาหกรรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคโดยรวมยังคงชะลอตัว
ในส่วนของเคทีซียังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ลูกหนี้บัตรเครดิตมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15.4% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 6.8%
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย เคทีซียังคงจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี และรักษาระดับเงินสำรองที่แข็งแกร่งและเพียงพอ โดยอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 1.83% และNPL Coverage Raio ที่ 419.9%
โดยในไตรมาส 2/2568 กลุ่มบริษัทยังรักษาฐานรายได้รวมให้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6,812 ล้านบาทจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมตามการขยายตัวของพอร์ตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงอยู่ที่ 4,340 ล้านบาท จากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ทำให้กลุ่มบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3.8% และครึ่งแรกปี 2568 กำไรสุทธิเท่ากับ 3,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5%
นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซียังให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ตลอดกระบวนการ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ซึ่งเป็นรากฐานในการทำธุรกิจที่จะช่วยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
และด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของเคทีซี ภายหลังจากมีการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 จำนวน 129,204,600 หุ้น และวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 243,262,200 หุ้น คิดเป็นอัตรา 5.01% และ 9.45% ของทุนจดทะเบียนตามลำดับ ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้มีการกระจายตัวมากขึ้น
"มีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเคทีซีในวงกว้างจากหลากหลายกลุ่มนักลงทุนอย่างชัดเจน โดยบมจ. ธนาคารกรุงไทยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 1 และให้การสนับสนุนเคทีซีเช่นเดิม รวมถึงโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างผู้บริหารและนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและสร้างพอร์ตคุณภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 เคทีซีมีฐานสมาชิกรวม 3,508,827 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 107,104 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.2%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.83% จำนวนสมาชิกบัตรเครดิต 2,813,627 บัตร (เพิ่มขึ้น 3.5%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,925 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.14% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่า 146,584 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.4%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 695,200 บัญชี
(ลดลง 5.1%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,396 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.0%)NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.32% และมียอดสินเชื่อใหม่ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จำนวน 1,048 ล้านบาทในส่วนของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มีมูลค่า 1,782 ล้านบาท (ลดลง 29.4%) ซึ่งเคทีซีได้หยุดปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 และปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่
เคทีซี ยังคงดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางในประกาศของ ธปท. ที่ 3/2568 เรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) โดยบริษัทได้มีการพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร ได้แก่ การเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้เงินกู้สินเชื่อบุคคลระยะยาว มาตรการลดภาระการเงินโดยเครดิตดอกเบี้ยคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของลูกหนี้ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ การปรับลดค่างวด เป็นต้น