โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ถอดรหัส จาก The Brands at War: 4 กรณีศึกษาการตลาดที่ช่วยพาแบรนด์ให้รอดตายในยุคแห่งความปั่นป่วน

Techsauce

เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Techsauce Team

ในยุคที่โลกปั่นป่วนไปด้วย "สงคราม" หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสงครามจริงอย่างความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามเศรษฐกิจที่ทำให้หลายธุรกิจต้องล้มหายตายจาก ไปจนถึงสงครามแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ disrupt ทุกอุตสาหกรรม แบรนด์จะปรับตัวและเอาตัวรอดได้อย่างไร?

นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ถูกนำมาขบคิดกันภายในงาน Creative Talk Conference 2025 ในเซสชั่นสุดเข้มข้น The Brands at War: How Brands Survived in Wartime โดยสองกูรูด้านแบรนด์และการตลาด คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร แห่ง SCBX และ คุณแดน ศรมณี จาก Brandology ที่มานั่งจับเข่าคุยในบรรยากาศสบายๆ แต่เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยบทเรียนและกรณีศึกษาที่แบรนด์ต้องรู้ เพื่อหาทางรอดและเติบโตในสภาวะที่ทุกอย่างไม่แน่นอน

คุณสุธีรพันธุ์ เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังอยู่ใน "สภาวะซึมเศร้า" ที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ข่าวหดหู่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนหลายคนตั้งคำถามว่า "แล้วทางออกคืออะไร?" คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่การสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่อยู่ที่การ "เรียนรู้จากประวัติศาสตร์" เพราะสถานการณ์ที่เราเผชิญในปี 2025 ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หากเราเข้าใจว่าในอดีตแบรนด์ต่างๆ ปรับตัวกันอย่างไร เราก็จะเห็นทางออกสำหรับอนาคตได้

Case Study 1: Rolex - พลิกวิกฤตสงครามโลกสู่แบรนด์แห่งความสำเร็จ

เมื่อพูดถึงแบรนด์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ Rolex คือชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง คุณสุธีรพันธุ์เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งของแบรนด์นี้

  • จุดกำเนิดและวิกฤต: Rolex ไม่ได้ถือกำเนิดที่สวิตเซอร์แลนด์อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ก่อตั้งที่ลอนดอนโดย Hans Wilsdorf ชาวเยอรมันที่เคยเป็นเพียงลูกจ้างในร้านจิวเวลรี เขาเล็งเห็นโอกาสในการนำเข้านาฬิกาจากสวิสมาขาย และริเริ่มผลิตนาฬิกาข้อมือขึ้นมา แต่ในยุคนั้น "ขายไม่ดี" เพราะคนยังนิยมนาฬิกาพก (Pocket Watch) ที่ดูหรูหราและเป็นสัญลักษณ์ของคนรวย

  • โอกาสในสงครามโลกครั้งที่ 1: จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารในสนามรบพบว่านาฬิกาพกนั้นใช้งานลำบากและชักช้า กว่าจะล้วงออกมาดูเวลาก็อาจถูกยิงเสียก่อน Rolex มองเห็น Pain Point นี้ จึงพัฒนานาฬิกาข้อมือที่มีความแข็งแรงทนทาน มีตะแกรงเหล็กครอบป้องกันหน้าปัด ทำให้นายทหารอังกฤษสั่งซื้อไปใช้กันทั้งกองทัพ พลิกให้บริษัทที่เกือบจะไปไม่รอดเพราะพิษสงคราม กลายเป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

  • นวัตกรรมและการตลาดที่เหนือชั้น: Rolex ไม่ได้หยุดแค่นั้น Wilsdorf ได้แรงบันดาลใจจาก "หอยนางรม" (Oyster) ที่เปลือกสองชิ้นประกบกันแน่นจนน้ำเข้าไม่ได้ มาพัฒนาเป็นนาฬิกากันน้ำรุ่น Oyster แต่ก็เจอปัญหาเดิมคือคนไม่เข้าใจว่า "จะใส่นาฬิกากันน้ำไปทำไม?"

  • โอกาสทอง: เมื่อ Rolex ทราบข่าวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งจะว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษ จึงเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ มอบนาฬิกาให้เธอใส่ขณะว่ายน้ำ และเธอก็ทำสำเร็จ! ภาพของเธอพร้อมกับนาฬิกา Rolex บนข้อมือกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของนาฬิกากันน้ำอย่างชัดเจน

    • ไม่หยุดพัฒนา: Rolex ยังคงตั้งคำถามต่อไปว่า "ทำไมนาฬิกาต้องไขลาน?" นำไปสู่การประดิษฐ์กลไก "Perpetual" ที่ไม่ต้องไขลาน แต่ก็ยังขายยากเพราะคนคุ้นชินกับพฤติกรรมเดิมๆ จนกระทั่งมีคณะสำรวจชาวอังกฤษจะไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ Rolex ก็เข้าไปสนับสนุนอีกครั้งโดยชี้ให้เห็นว่า ในอากาศหนาวจัดติดลบ 40 องศา การถอดถุงมือเพื่อมาไขลานเป็นเรื่องลำบากมาก นาฬิการุ่น Explorer ที่ไม่ต้องไขลานจึงตอบโจทย์ที่สุด และเมื่อคณะสำรวจพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ Rolex ก็ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์แห่งความสำเร็จและนวัตกรรมไปอีกขั้น

บทเรียนจาก Rolex คือ ในยามสงครามหรือวิกฤต มันมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่การขายอาวุธ แต่มีความต้องการอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ หน้าที่ของแบรนด์คือต้องมองหาโอกาสนั้นให้เจอ

Case Study 2: ASICS - กีฬากู้ชาติ สร้างแบรนด์จากเถ้าถ่านสงคราม

คุณสุธีรพันธุ์ข้ามมาที่ฝั่งเอเชียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นอยู่ในสภาพประเทศผู้แพ้สงคราม ผู้คนสิ้นหวังและขาดความเชื่อมั่นในชาติของตนเอง มีชายคนหนึ่งชื่อ Kihachiro Onitsuka ที่ต้องการจะรื้อฟื้นความภาคภูมิใจของชาติกลับคืนมา

  • เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจ: เขาเลือกใช้ "บาสเกตบอล" เป็นเครื่องมือ เพราะมองว่าเป็นกีฬาที่มีโอกาสจะเอาชนะสหรัฐอเมริกาได้ เขาจึงก่อตั้งทีมและตั้งเป้าจะไปเอาชนะอเมริกาให้ได้ถึงถิ่น
  • นวัตกรรมจากสิ่งรอบตัว: ในยุคนั้นทีมไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อรองเท้าดีๆ Onitsuka จึงต้องประดิษฐ์รองเท้าขึ้นเอง วันหนึ่งขณะที่เขากำลังกินปลาหมึก เขาเห็นหนวดปลาหมึกที่ดูดติดจานอย่างเหนียวแน่น และเกิดไอเดีย! เขานำแนวคิดนั้นมาออกแบบพื้นรองเท้าบาสเกตบอลที่มีปุ่มดูดเพื่อเพิ่มการยึดเกาะ และมันก็ได้ผลดีเยี่ยม
  • สร้างแบรนด์ด้วยปรัชญา: แบรนด์ที่เขาสร้างไม่ได้เป็นแค่แบรนด์รองเท้ากีฬา แต่มี Purpose ที่ลึกซึ้ง บริษัทของเขามีชื่อว่า ASICS ซึ่งเป็นตัวย่อของคำในภาษาละตินว่า "Anima Sana In Corpore Sano" หมายถึง "จิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์" นี่คือการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างชาติ ไม่ใช่แค่สร้างธุรกิจ

กรณีของ Onitsuka และ ASICS คือตัวอย่างของการสร้างแบรนด์ที่เกิดจาก Purpose ที่ยิ่งใหญ่ มองหาโอกาสในการเยียวยาจิตใจผู้คนและสร้างความหวังในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด

Case Study 3: สงครามเศรษฐกิจ 2008 - เมื่อแบรนด์หรูต้องเลือกระหว่าง 'อยู่' หรือ 'ไป'

คุณแดน ได้เจาะลึกถึงวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ที่เปรียบเสมือน "สงครามเศรษฐกิจ" ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดลักชัวรีทั่วโลก แต่ในวิกฤตครั้งนั้น ก็มีทั้งแบรนด์ที่ล้มลงและแบรนด์ที่ยืนหยัดอยู่ได้

กลุ่มที่ไปไม่รอด:

  • Escada: เป็นแบรนด์เยอรมันที่ปรับตัวช้า ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ และพึ่งพาช่องทางห้างสรรพสินค้ามากเกินไป เมื่อเกิดวิกฤตจึงปรับตัวไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ DKNY ที่พึ่งพาห้างสรรพสินค้ามากเกินไป จนแบรนด์ปรับตัวไม่ทัน
  • Christian Lacroix: ยึดมั่นในความเป็นแบรนด์หรูสุดขั้ว (Haute Couture) มากเกินไป ไม่ยอมปรับเปลี่ยน จนสุดท้ายต้องล้มละลาย
  • Versace: ขยายแบรนด์ไปสู่ธุรกิจที่ไม่ใช่แกนหลักของตัวเองมากเกินไป เช่น โรงแรม ร้านกาแฟ ทำให้แบรนด์เจือจางและขาดความแข็งแกร่งในช่วงวิกฤต สูญเสีย Identity ของตัวเอง

กลุ่มที่รอดและแข็งแกร่งกว่าเดิม:

  • Hermès: ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ "จำกัดการผลิต (Limit Production)" ยิ่งทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการมากขึ้น และ "ปกป้อง Brand Equity" อย่างเข้มแข็ง ไม่มีการลดราคาเด็ดขาด
  • Louis Vuitton: ยึดมั่นใน Core Product ที่เป็น Iconic ของตัวเอง และ "บุกตลาดใหม่อย่างดุดัน" โดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งตอนนั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้อยกว่าฝั่งตะวันตก
  • Cartier: โฟกัสไปที่สินค้า High-Margin อย่าง "จิวเวลรี" ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของแบรนด์ แม้ว่าตลาดโดยรวมจะซบเซา แต่กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสุดยังคงอยู่
  • Channel: ยืนหยัดในความเป็นแบรนด์ที่ไม่ลดราคา และรักษาความ Exclusivity ของตัวเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

บทเรียนสำคัญจากสงครามเศรษฐกิจครั้งนี้คือ "Mindset" แบรนด์ที่รอดคือแบรนด์ที่มีความมุ่งมั่น อดทน และเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง พวกเขามองว่าวิกฤตเป็นเพียง "น้ำขึ้นน้ำลง" และเลือกที่จะอดทนรอเพื่อวันที่น้ำจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง

Case Study 4: Netflix vs. Blockbuster - เมื่อ ‘แม่น้ำเปลี่ยนทิศ’ ไม่ใช่แค่ ‘น้ำขึ้นน้ำลง’

คุณสุธีรพันธุ์ยกตัวอย่างสงครามอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจและใกล้ตัวเรามากที่สุด คือสงครามแห่งการ Disruption ผ่านเรื่องราวของ Netflix และ Blockbuster

  • จุดเริ่มต้นของ Disruption: Netflix ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดย Reed Hastings ที่หงุดหงิดกับการถูกร้านเช่าวิดีโอ Blockbuster ปรับเงินค่าคืนช้า เขาจึงสร้างโมเดลธุรกิจใหม่คือ "การส่ง DVD ให้เช่าทางไปรษณีย์แบบ Subscription" ไม่มีค่าปรับ ไม่มีหน้าร้าน
  • เมื่อยักษ์ใหญ่ไม่ปรับตัว: ในช่วงแรก Blockbuster มองว่า Netflix เป็นธุรกิจที่ไม่น่าจะเวิร์ก และปฏิเสธโอกาสที่จะซื้อกิจการ Netflix ไปด้วยซ้ำ พวกเขายังคงยึดมั่นในโมเดลธุรกิจเดิมที่มีหน้าร้านและรายได้จากค่าเช่าและค่าปรับ
  • แม่น้ำเปลี่ยนทิศ: สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ "น้ำลง" หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่มันคือ "แม่น้ำที่เปลี่ยนทิศ" พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตแรงขึ้น Netflix มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้และ Pivot ตัวเองจากการส่ง DVD มาสู่ "บริการสตรีมมิ่ง" อย่างเต็มตัว ในขณะที่ Blockbuster ไม่สามารถย้ายฐานตัวเองตามแม่น้ำสายใหม่ได้ และสุดท้ายก็ต้องล้มละลายไป

บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นว่า บางครั้งวิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ภาวะชั่วคราว (น้ำขึ้นน้ำลง) แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างถาวร (แม่น้ำเปลี่ยนทิศ) แบรนด์ที่ไม่ยอมรับความจริงและปรับตัว ก็จะต้องหายไปเหมือน Blockbuster

บทสรุปและคำถามถึงแบรนด์ไทย

เซสชั่นนี้ทิ้งท้ายด้วยคำถามสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยว่า"วันนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะน้ำลง หรือแม่น้ำกำลังเปลี่ยนทิศ?"

หลายสัญญาณชี้ว่าเงินลงทุนอาจจะไม่ได้ไหลกลับมาที่ไทยเหมือนเดิมอีกแล้ว การรอคอยให้เศรษฐกิจดีขึ้นอาจจะไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป คุณแดนและคุณสุธีรพันธุ์มองว่า ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังขาด "ความอดทน" และ "ความชัดเจน" ในการสร้างแบรนด์

คุณแดนยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับ "ร้านส้มตำของคุณยาย" ที่อร่อยมาก ลูกๆ 4 คนอยากขยายสาขา แต่คุณยายไม่ยอมให้สูตร แต่เลือกที่จะตำน้ำปรุงรสสูตรลับส่งไปให้ลูกๆ ทุกสาขาทุกเช้า เพื่อควบคุมคุณภาพและความเป็นต้นตำรับ นี่คือ Luxury Mindset ที่แท้จริง คือการปกป้องแก่นแท้และคุณค่าของแบรนด์ไว้ ไม่ใช่การรีบรวยด้วยการขยายแฟรนไชส์จนสูตรเพี้ยนและแบรนด์พัง

สุดท้ายแล้ว การจะสร้างแบรนด์ให้รอดในทุกสมรภูมิได้นั้น ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า "คุณสร้างแบรนด์เพื่อสร้างคุณค่า หรือสร้างแบรนด์เพื่อทำกำไร?" และถ้าคุณมี Passion ในการแก้ปัญหาให้มนุษย์ และมีความอดทนมากพอที่จะรอวันเติบโต ไม่ว่าสงครามจะมาในรูปแบบไหน แบรนด์ของคุณก็จะสามารถยืนหยัดและผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน

อ้างอิง: สรุปจาก Session Half Year Trends : Business and Economy ในงาน Creative Talk Conference 2025

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Techsauce

AI ช่วยคู่รักมีลูกได้สำเร็จ หลังพยายามนาน 18 ปี ด้วยเทคโนโลยีใหม่จากโคลัมเบีย

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ทำไม Microsoft ถึงเลือกไทย ? กับโครงการ THAI Academy

13 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

ประวัติ Hi5 : โซเชียลยุคเก่า ที่มาก่อนยุค Instragram - TikTok ฮิตมากยุค 2000s

SpringNews

ทรัมป์ออกกฎใหม่! เล็งจำกัดส่งออกชิป Nvidia เข้าไทย-มาเลเซีย หวั่นเทคโนโลยีถึงมือจีน

ข่าวหุ้นธุรกิจ

JKN นัดเจ้าหนี้ประชุม 17 ก.ค.นี้ เคาะแผนฟื้นฟูกิจการ

ข่าวหุ้นธุรกิจ

NSL Foods ทุ่ม 800 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ ดันกำลังผลิตแซนวิช โกยรายได้โต 16%

กรุงเทพธุรกิจ

รถไฟฯ รวมพลังจิตอาสา Big Cleaning Day ที่หยุดรถแม่พวก จ.แพร่ ต้อนรับ “วิ่ง-ป่า-ลาบ 68” เฉลิมพระเกียรติ เดือนมหามงคล

สยามรัฐ

“MAJOR × OMODA & JAECOO” ชวนคอหนัง ออกเดินทางแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ลุ้นบินโอซาก้า! สัมผัสประสบการณ์สุดมันส์ในโลกภาพยนตร์

สยามรัฐ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทำไม Microsoft ถึงเลือกไทย ? กับโครงการ THAI Academy

Techsauce

การทำงานในคลังสินค้าที่เปลี่ยนไป เมื่อจำนวนหุ่นยนต์ช่วยงานของ Amazon กำลังจะแซงหน้าพนักงาน

Techsauce

จากวิกฤตร้านอาหาร สู่โลกที่กลายพันธุ์ ถอดรหัสทางรอดธุรกิจไทยจาก 'ยอด-ท็อป' ในวันที่ AI คือทุกสิ่ง

Techsauce
ดูเพิ่ม
Loading...