ถ่ายทอดสด ศาล รธน.อ่านคำวินิจฉัยคดี “พิเชษฐ์”โยกงบ เวลา 15.00 น.
วันนี้ (1 ส.ค. 68) เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัย เรื่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือ การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่
โดยจะมีการ "ถ่ายทอดสด" ผ่านทางช่องยูทูปของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
คลิกดู https://www.youtube.com/live/V8L8TFqMqcQ
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีการปรึกษาหารือในคดีหมายเลขดำ ที่นายภัณฑิล น่วมเจิม พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 121 คน ร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาล กล่าวหานายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
คำร้องระบุว่า นายพิเชษฐ์ ได้ให้ความเห็นชอบและมีส่วนโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการผลักดันโครงการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ในงบประมาณปี 2568 และต่อมาได้เสนอในลักษณะเดียวกันอีกครั้งในงบประมาณปี 2569 ซึ่งเข้าข่ายการแปรญัตติหรือการจัดทำงบประมาณที่ผู้ถูกร้องมีส่วนได้เสีย อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
ศาลได้ไต่สวนพยานบุคคลรวม 9 ปาก ก่อนมีคำสั่งรับคำแถลงปิดคดีจากทั้งสองฝ่าย โดยเห็นว่าพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงกำหนดนัดประชุมปรึกษาและลงมติในวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. และจะอ่านคำวินิจฉัยในเวลา 15.00 น. ณ ศาลรัฐธรรมนูญ
คดีนี้หากศาลมีคำวินิจฉัยว่า นายพิเชษฐ์ ฝ่าฝืนมาตรา 144 จะทำให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.เชียงราย และพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่งโดยปริยาย นำไปสู่การเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ อีกทั้งยังอาจถูกเรียกคืนเงินงบประมาณที่เกี่ยวข้องภายใน 20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
ที่สำคัญ คำวินิจฉัยครั้งนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่า จะกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ต่อการพิจารณาคดีตาม มาตรา 144 ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท”