รู้ขั้นตอนวีซ่าอเมริกาให้พร้อม ก่อนจ่ายแพงขึ้นอีก 8,000 บาท เริ่ม ต.ค. นี้
สหรัฐอเมริกาเตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าชั่วคราว (Nonimmigrant Visa) โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ทำให้คนไทยที่มีแผนเดินทางไปสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยว ทำธุรกิจ หรือศึกษาต่อ อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 บาท การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนและเตรียมงบประมาณสำหรับการเดินทาง ผู้ขอวีซ่าจึงควรทำความเข้าใจขั้นตอนและข้อกำหนดต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อป้องกันความล่าช้าหรือค่าใช้จ่ายที่เกินความคาดหมาย
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการของสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทย ระบุขั้นตอนการขอวีซ่าชั่วคราวไว้อย่างเป็นระบบ ผู้ยื่นคำร้องต้องดำเนินการดังนี้:
1. กรอกแบบฟอร์ม DS-160 ซึ่งเป็นแบบฟอร์มออนไลน์สำหรับการขอวีซ่าชั่วคราว โดยต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด พร้อมอัปโหลดรูปถ่ายหน้าตรงตามข้อกำหนด หากกรอกเสร็จแล้ว ระบบจะสร้างรหัสยืนยัน (confirmation number) ที่ต้องใช้ในการนัดสัมภาษณ์
2. ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประเด็นในขณะนี้ โดยปัจจุบันมีการรายงานว่าค่าธรรมเนียมสำหรับประเภท B1/B2 (ท่องเที่ยว/ธุรกิจ), F (นักเรียน), และ J (แลกเปลี่ยน) จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 8,000 บาท จากอัตราเดิม คาดว่ามีผลเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีแผนจะเดินทางควรเร่งดำเนินการก่อนถึงช่วงเวลานั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
3. สร้างบัญชีผู้ใช้บนระบบนัดหมาย ของสถานทูต โดยกรอกข้อมูลผู้สมัคร และหมายเลขยืนยันจากแบบฟอร์ม DS-160 รวมถึงแนบหลักฐานการชำระเงินค่าธรรมเนียม ซึ่งต้องชำระก่อนจึงจะสามารถนัดวันสัมภาษณ์ได้
4. นัดวันสัมภาษณ์วีซ่า โดยผู้สมัครต้องเลือกวันและเวลาที่สะดวก ผ่านระบบออนไลน์ โดยควรเลือกวันที่ยังว่างอยู่และใกล้เคียงกับแผนการเดินทาง
5. เตรียมเอกสารให้พร้อมในวันสัมภาษณ์ ได้แก่ หนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุ ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียม และเอกสารประกอบเพิ่มเติม เช่น หลักฐานการเงิน หลักฐานการทำงาน จดหมายเชิญ หรือเอกสารการรับเข้าเรียน (สำหรับวีซ่านักเรียน)
การสัมภาษณ์วีซ่าจะดำเนินการที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลใหญ่ในเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาใบสมัครตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายคนเข้าเมืองสหรัฐฯ และหากผ่านการอนุมัติ หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่าจะถูกส่งกลับทางไปรษณีย์หรือให้มารับด้วยตนเองตามช่องทางที่เลือกไว้
ทั้งนี้ สถานทูตย้ำว่า การขอวีซ่าไม่ได้รับประกันว่าจะได้รับอนุมัติ และผู้สมัครควรมีเจตนาชัดเจนว่าจะเดินทางไปชั่วคราวเท่านั้น โดยต้องแสดงหลักฐานที่เพียงพอว่าตนจะกลับมาประเทศไทยหลังจากการเดินทาง
การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ แม้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจากสถานทูต แต่แหล่งข่าวจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวระบุว่า น่าจะมีผลในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยเฉพาะในช่วงที่การเดินทางระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัวหลังโควิด-19 และคนไทยมีความต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สถานทูตยังเปิดให้บริการ “Drop Box” สำหรับผู้ที่เคยได้รับวีซ่าสหรัฐฯ แล้ว และต้องการต่ออายุ โดยไม่ต้องเข้าสัมภาษณ์อีกครั้ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดเวลาได้มาก
ในภาวะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูง การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการขอวีซ่าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับคนไทยที่วางแผนจะเดินทางไปสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ ควรรีบศึกษาขั้นตอน เตรียมเอกสารให้พร้อม และยื่นขอล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากค่าธรรมเนียมใหม่ที่จะมีผลเร็ว ๆ นี้