เอกชนขอบคุณ “กนง.” หั่นดอกเบี้ยถูกจังหวะ ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น
ทันทีที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มติเอกฉันท์ 6 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เหลือ 1.5% เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2568 ในวันเดียวกัน ช่วงค่ำธนาคารกรุงเทพ ออกประกาศลดดอกเบี้ยทันทีที่ 0.25% ขานรับการส่งสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยในปัจจุบัน โดยต้องการเพิ่มกำลังซื้อ กำลังการบริโภค และลดต้นทุนให้กับประชาชน
ขณะที่ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ต่างทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงในทิศทางเดียวกัน ล่าสุดวันที่ 14 ส.ค. 2568 มี 5 ธนาคารประกาศลดดอกเบี้ยแล้ว ประกอบด้วย กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทีเอ็มบีธนชาติ และกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ ยังมีธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่พร้อมใจประกาศลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบด้วย ออมสิน อาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
โดยสถาบันการเงินที่กล่าวข้างต้นทั้งหมดนี้ ได้ลดอัตราดอกเบี้ยตระกูล M ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ซึ่งครอบคลุมลูกค้าของธนาคารทั้งที่เป็นนิติบุคคล บริษัทห้างร้าง และบุคคลธรรมดา
สัญญาณดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ หากไม่เร่งจัดการกับปัญหาในวันนี้ จะส่งผลให้ในอนาคต “เศรษฐกิจ” อาจจะยากเกินจะแก้
ทีมเศรษฐกิจอีจัน ได้สัมภาษณ์ “ภาคเอกชน” ถึงการตัดสินใจของ กนง. ในการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ที่มาถูกทั้งจังหวะ และเวลาที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงจากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน ทำให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศเกิดภาวะชะงักงัน ผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) ขาดสภาพคล่อง ประชาชนประสบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
กนง. มติเอกฉันท์ 6 เสียง ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.5%
3 วันก่อนหน้า13 ส.ค. 2025
กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
การลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ กนง. เน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจหลายๆ ด้านพร้อมกัน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็มีการคาดว่า กนง.จะอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งก่อนสิ้นปี
ขณะที่ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ 5 มีผลกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกปีนี้ กว่า 120,000 ล้านบาท ยอมที่จะเสียสละ ไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง ซึ่งถือเป็นฝั่งดอกเบี้ยจ่าย ที่เป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน ดังนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยไม่ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากอีกขาหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า สถาบันการเงินยอมรับความต้นทุนที่สูงขึ้นแทนภาคธุรกิจ
นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง หรือ ถูกลง ยังช่วยผลัดดันให้ตลาดหุ้นของไทยที่ซบเซา เกิดความคักคึกขึ้นมาทันที โดยวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้น 18.36 จุด ปิดที่ 1,259.07 จุด สะท้อนว่า การลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรา กำลังฟื้นตัวและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วง“ดอกเบี้ยขาลง”
และที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงนั้น ยังส่งผลต่อการแก้หนี้ของภาคธุรกิจและประชาชนมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะล่าสุด ธปท.รายงานการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินมีแนวโน้มชะลอตัว โดยไตรมาส 2/2568 จำนวนให้สินเชื่ออยู่ที่ 4.39 ล้านล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 4.44 ล้านล้านบาท ซึ่งสถาบันการเงินระวังการให้สินเชื่อ เป็นผลจากปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยถือเป็น “เครื่องมือทางการเงิน” ที่จะเข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และผยุงธุรกิจ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางและยังมีความไม่แน่นอนสูง
เอกชนขอบคุณ กนง.ลดดอกเบี้ย
ภาคเอกชน “นายเกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวขอบคุณ กนง. ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างทันท่วงที ทำให้ต้นทุนธุรกิจถูกลง และยังลดภาระให้กับประชาชนที่เผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง
“ช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีสหรัฐฯ และเงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินในภูมิภาค การลดอัตราดอกเบี้ยมีส่วนทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ผลักดันการส่งออกให้ดีขึ้นได้”
นอกจากนี้ การตัดสินใจของ กนง. ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ท่ามกลางความท้าทายจากภายนอก และภายในประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีไทย 36% ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ รีบสั่งออร์เดอร์ และกักตุนสินค้า ส่งผลให้การส่งออกของไทยเติบโตถึง 15%
แต่เมื่อไทยได้เจรจากับสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 1 ส.ค. หรือวันสุดท้ายของการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ สหรัฐฯ ได้ประกาศลดอัตราภาษีไทยเหลือ 19% จึงเชื่อว่าการส่งออกครึ่งหลังปีนี้จะลดลงอย่างมาก หลังจากผู้นำเข้าได้เร่งสต็อกสินค้าไปก่อนหน้านี้
“คาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากภาคท่องเที่ยวชะลอตัวลง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยลดลงถึง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินและการคลัง จึงเป็นอีกวิธีการที่สำคัญและมีผลต่อเศรษฐกิจ”
แบงก์จับตา 5 ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจ
“ดร. อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB T) กล่าวว่าระยะข้างหน้า กนง. ต้องจับตา 5 ประเด็นเศรษฐกิจใกล้ชิดที่มีผลต่อการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย อาทิ 1.เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง จากราคาน้ำมันโลกและมาตรการรัฐช่วยค่าครองชีพ 2.สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และครัวเรือนรายได้น้อย 3.ธุรกิจขนาดใหญ่ชะลอการลงทุน และเน้นการชำระหนี้จากความไม่แน่นอน 4.ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง และ 5.ค่าเงินบาทแข็งค่าเทียบดอลลาร์และสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
ขณะที่ประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นย้ำ แม้การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระหนี้ของผู้ที่มีหนี้อยู่แล้ว แต่ไม่น่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง หรือกระตุ้นสินเชื่อได้มากนัก เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตยังสูง
อีกทั้งยังต้องรอความชัดเจนจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ก่อนดำเนินนโยบาย แม้จะเป็นแนวทางที่รอบคอบ แต่บางครั้งอาจทำให้เศรษฐกิจระดับล่างไถลลงลึกเกินไป จนต้องใช้มาตรการที่แรงกว่าคาดเพื่อพยุงไม่ให้ทรุดต่อ
“การประชุมอีก 2 ครั้วในปีนี้ มองว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยในรอบเดือนต.ค. เพื่อประเมินผลจากการลดดอกเบี้ยรอบนี้ หากเศรษฐกิจยังอ่อนแรง อาจมีการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. สู่ระดับ 1.25%”ดร.อมรเทพกล่าว
TDRI ลุ้นรัฐอัดมาตรการใหม่
“ดร.นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายล่าสุด ถือเป็นสัญญาณชัดว่าแบงก์ชาติ พร้อมใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อรับมือเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันรอบด้าน
ขณะที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME จะได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง แต่การส่งผ่านดอกเบี้ยไปสู่ระบบเศรษฐกิจจริงกลับใช้เวลานานขึ้นและให้ผลน้อยกว่าเดิม
สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับลดลงมักจะไม่เท่ากับอัตราที่แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย และส่วนใหญ่จะใช้เวลาปรับช้ากว่า ราว 3-4 ไตรมาส ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากมักไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเชิงสถิติที่สะท้อนว่า การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปสู่เศรษฐกิจจริงมีประสิทธิผลลดลง ทั้งในด้านขนาดของผลกระทบที่เล็กลง และระยะเวลาที่นานขึ้นกว่านโยบายจะส่งผลจริง ซึ่งในแง่ของประสิทธิภาพขึ้นกับหลากหลายปัจจัย
“แต่ในทางทฤษฎีแล้ว การลดดอกเบี้ยจะทำให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มปล่อยสินเชื่อมากขึ้นไม่มากก็น้อย จึงจำเป็นต้องติดตามดูว่า ธปท. และภาครัฐจะมีนโยบายเสริมออกมาหรือไม่ เช่น โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ของ ธปท. การจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) รูปแบบใหม่ การแก้ไขหนี้เสีย (NPL) ในฝั่ง ธปท. และการสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวของภาครัฐ”
ท้ายที่สุดนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ที่เหลืออีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ “ภาคเอกชน” คิดตรงกันว่าอาจจะได้เห็น กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ที่อัตรา 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.25% ก่อนปิดสิ้นปี 2568