จีนลุยขุดแร่หายากเมียนมาส่งออกพุ่ง5เท่าใน3ปี กูรูชี้เป็นต้นตอพิษน้ำกก
ชายแดนไทย-เมียนมาในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเส้นแบ่งเขตแดนทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแนวหน้าของวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่ขยายผลกระทบไกลเกินกว่าชุมชนชายแดน ข้อมูลล่าสุดระบุว่าการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมา ภายใต้อิทธิพลของจีนและกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่น กำลังปล่อยสารพิษไหลปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำสายสำคัญ ก่อนจะทะลักเข้าสู่ไทยและเชื่อมต่อถึงแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สัญญาณอันตรายเริ่มชัดเจนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เมื่อแม่น้ำกกที่ปกติใสสะอาดในฤดูแล้งกลับขุ่นมัวและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มผิดธรรมชาติ ชาวบ้านจึงร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ผลที่ได้สร้างความกังวล เพราะพบสารหนูและตะกั่วเกินกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) หลายเท่า และเมื่อมีการขยายผลตรวจสอบ 27 จุดตลอดแนวแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา พบว่ากว่าครึ่งมีระดับสารหนูสูงผิดปกติ บางจุดเกือบห้าเท่าจากเกณฑ์ ขณะเดียวกันยังตรวจพบสารแมงกานีสและตะกั่วในระดับที่น่าห่วง
พิษภัยเหล่านี้ส่งผลให้ปลาในแม่น้ำเกิดความผิดปกติทางร่างกาย บางส่วนมีเนื้องอก ทำให้ชาวประมงสูญเสียรายได้อย่างหนัก เกษตรกรเองก็กังวลว่าข้าวและพืชผลทางการเกษตรอาจปนเปื้อนสารพิษโดยที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ปัญหานี้จึงไม่ได้จำกัดเพียงครัวเรือนในท้องถิ่นชายแดน หากแต่กระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหารและการส่งออกของไทย ซึ่งพึ่งพาทรัพยากรจากแม่น้ำโขงและสาขาย่อยในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
ขณะเดียวกัน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่เคยคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนเพื่อล่องแก่งแม่น้ำกก ชมวัด และสัมผัสทิวทัศน์ภูเขา ปัจจุบันกลับเงียบเหงา ร้านค้าแทบร้างลูกค้า รายได้หดหายจนแทบไม่เหลือ สาเหตุหลักมาจากแม่น้ำที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์กลับถูกทำลายด้วยมลพิษ ทำให้ทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจท้องถิ่นพังทลายพร้อมกัน ชาวบ้านบางรายถึงขั้นยอมรับว่าต้องกินปลาเนื้องอกที่ขายไม่ออกเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
ภาพเหล่านี้สะท้อนว่านี่ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นวิกฤติที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ซับซ้อน ตั้งแต่อำนาจทางเศรษฐกิจของจีน ความไม่สงบภายในเมียนมา ไปจนถึงความเปราะบางของไทยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องรับผลกระทบโดยตรงจากต้นน้ำที่ไร้การควบคุมอย่างแท้จริง
เหมืองเมียนมาบูมหลังรัฐประหาร ดันส่งออกแร่หายากไปจีนพุ่ง 5 เท่า
แม้จะยังไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดสารพิษได้อย่างชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า “ตัวการสำคัญ” น่าจะมาจากการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมา ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น
หลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่โดย International Rivers และ Shan Human Rights Foundation ยืนยันว่า ระหว่างปี 2023-2025 เมียนมามีเหมืองใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 20 แห่งใกล้ชายแดนไทย ป่าทึบถูกแผ้วถางกลายเป็นพื้นที่หลุมขุดและลานเครื่องจักร พระจากอำเภอแม่อายซึ่งเดินทางข้ามแดนเป็นประจำเล่าว่า “ก่อนปี 2023 ที่นั่นยังเป็นป่าทึบทั้งหมด แต่ตอนนี้บางไซต์ใหญ่ถึงกับเคลียร์พื้นที่หนึ่งเฮกตาร์เต็มเพื่อทำเหมือง”
การเติบโตของเหมืองไม่ได้หยุดแค่แนวชายแดนติดไทย แต่ยังขยายลึกเข้าไปในเขตอิทธิพลของ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) มากกว่า 26 แห่ง พื้นที่นี้เป็นเขตปกครองตนเองที่มีอาวุธหนัก แม้แต่กองทัพเมียนมาก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้เต็มที่ ขณะที่ภาพถ่ายจาก Google Earth ยังแสดงให้เห็นบ่อเก็บน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเหมืองแร่หายากที่ใช้เก็บสารละลายเคมีจากกระบวนการแยกแร่
ปัจจุบัน จีนซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตและการแปรรูปแร่หายากมากกว่า 70% ของตลาดโลก พึ่งพาทรัพยากรเหล่านี้อย่างยิ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านการทหารอย่างระบบขีปนาวุธ ทว่าความพยายามลดการทำเหมืองภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม กลับทำให้จีนต้องหันไปพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา
เมียนมานับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแหล่งสำรองแร่หายากขนาดใหญ่ติดอันดับโลก และเมื่อจีนแทบผูกขาดกระบวนการถลุงและแปรรูปในประเทศ สินแร่ดิบจากเหมืองในฝั่งเมียนมาจึงเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักของโรงงานจีนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ โดยนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา เมียนมาได้กลายเป็นซัพพลายเออร์สำคัญที่จีนขาดไม่ได้
ข้อมูลจากสถาบัน ISP-Myanmar ระบุว่า ก่อนการรัฐประหารในปี 2021 มูลค่าการส่งออกแร่หายากจากเมียนมาไปจีนยังอยู่ที่ราว 665 ล้านดอลลาร์ แต่หลังรัฐประหาร ตัวเลขดังกล่าวพุ่งทะยานกว่า 5 เท่า ภายในช่วงปี 2021-2024 แตะระดับ 3.6 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในปี 2023 เพียงปีเดียว ตัวเลขก็พุ่งสูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนการพึ่งพิงที่ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงตอกย้ำความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ หากยังสะท้อนพลวัตทางการเมืองที่ซับซ้อนในภูมิภาค เหมืองแร่หายากตามแนวชายแดนเมียนมาจึงไม่ใช่แค่ฐานการผลิตวัตถุดิบ หากแต่กำลังกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่กำหนดทิศทางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจน
พิษเหมืองเมียนมา ซัดน้ำไทยเสี่ยงซ้ำรอยคะฉิ่น
ผลการศึกษาของ ผศ. ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่าตัวอย่างน้ำ 7 จุดจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายมีโลหะหนักปนเปื้อนสูง โดยราว 60-70% สามารถโยงกลับไปยังเหมืองแร่หายากในเมียนมาได้อย่างชัดเจน จาก “ลายนิ้วมือโลหะ” ที่ตรงกับเหมืองในรัฐคะฉิ่นซึ่งดำเนินการมากว่าทศวรรษ เขายืนยันว่า “ความเข้มข้นของโลหะในแม่น้ำกกสอดคล้องกับแหล่งที่มาจากเหมืองในเมียนมาอย่างชัดเจน”
แพทริก มีแฮน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อธิบายว่า เหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมาดำเนินการโดยไม่มีทั้งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบตามมาตรฐาน กระบวนการสกัดใช้วิธีสูบสารเคมีเข้าสู่เนินเขาเพื่อชะล้างแร่ จากนั้นจึงสูบของเหลวที่ปนเปื้อนออกมากักในบ่อพัก ก่อนจะคัดแยกแร่มีค่าออกมา แต่หากขาดการควบคุมอย่างเข้มงวด น้ำปนเปื้อนเหล่านี้มักถูกปล่อยกลับลงแม่น้ำ หรือซึมผ่านชั้นดินลงสู่น้ำใต้ดิน ก่อนจะไหลกลับเข้าสู่ลำน้ำหลัก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรัฐคะฉิ่นสะท้อนปัญหานี้อย่างเด่นชัด รายงานของ Global Witness ปี 2024 ระบุว่า การทำเหมืองแร่ในพื้นที่ได้ก่อให้เกิด “หายนะสิ่งแวดล้อม” อย่างรุนแรง แม่น้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นลำน้ำที่ปราศจากปลา ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง ปศุสัตว์เจ็บป่วยและตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังพบอัตราการเสียชีวิตของแรงงานเหมืองสูงผิดปกติ นักวิชาการ จึงเตือนว่า หากไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐฉาน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย อาจเผชิญชะตากรรมเดียวกับรัฐคะฉิ่นในไม่ช้า
ในแง่ผลกระทบต่อผู้คน เพียรพร ดีเทศ จาก International Rivers ย้ำว่า “นี่เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขทันที ไม่ควรรอให้คนรุ่นต่อไปเผชิญความพิการหรือโรคร้าย” เธอเตือนว่าการนำน้ำปนเปื้อนไปใช้ในการชลประทานนาข้าว อาจส่งผลกระทบต่อประชากรนับล้านคนในภูมิภาค เนื่องจากหนึ่งในสารที่พบในแม่น้ำคือสารหนู เป็นสารพิษอันตราย โดยงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่าการสัมผัสสารหนูในระดับสูงต่อเนื่องจะก่อให้เกิดโรคทางระบบประสาท ความล้มเหลวของอวัยวะ และมะเร็ง
นอกจากนี้ แม้หน่วยงานไทยจะแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อดื่มหรือซักล้าง แต่เพียรพรชี้ว่า มาตรการดังกล่าวยัง “ไม่เพียงพอ” เนื่องจากแม่น้ำโขงไหลผ่านถึง 6 ประเทศ และยังเป็นลุ่มน้ำสำคัญต่อการเกษตรและแหล่งอาหารที่ส่งออกไปทั่วโลก อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับพื้นที่ท่องเที่ยวระดับนานาชาติ เช่น เมืองหลวงพระบางในลาวตอนเหนือ เธอจึงเรียกร้องว่า “รัฐบาลไทยควรกดดันเมียนมาและจีนให้แก้ปัญหานี้ ก่อนจะสายเกินไป”
การเมืองจีน-เมียนมา-ไทย กับทางออกที่ยังไม่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่หายากในเมียนมาเป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขได้ด้วยมาตรการทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว เพราะเหมืองจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่กองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) ควบคุม ทำให้การบังคับใช้กฎหมายแทบเป็นไปไม่ได้ ความจริงข้อนี้ยิ่งตอกย้ำว่า การจัดการมลพิษที่ต้นทางยังเป็นเรื่องยากและไกลเกินเอื้อมในระยะเวลาอันใกล้
แม้สถานทูตจีนในไทยจะออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ย้ำว่าบริษัทจีนที่ทำธุรกิจในต่างประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่น และจีนพร้อมร่วมมือกับประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ก็ทางการจีนไม่ได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมว่าจะออกมาตรการจัดการเรื่องนี้อย่างไร ส่วนสถานทูตจีนในเมียนมาและกระทรวงการต่างประเทศจีนยังคงเงียบ ไม่ตอบคำถามจากสื่อ
ในไทย แรงกดดันจากประชาชนก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีชาวบ้านกว่า 1,500 คนรวมตัวกันที่จังหวัดเชียงราย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและจีนกดดันผู้ประกอบการเหมืองในเมียนมาให้หยุดทำลายแม่น้ำ ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามนำเสนอมาตรการแก้ไข เช่น การสร้างเขื่อนหรือฝายชะลอน้ำในเชียงรายเพื่อดักกรองมลพิษ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เพียรพร ดีเทศ ระบุว่า “เขื่อนอาจพอใช้ได้กับลำห้วยเล็ก ๆ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาในแม่น้ำขนาดใหญ่อย่างแม่น้ำโขงได้” ด้าน ผศ.ดร.ธนพล เพ็ญรัตน์ จึงหันมาศึกษาการสร้างฝายต่อเนื่อง (cascading weirs) ผ่านแบบจำลองคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้บางส่วน แต่ก็ยังไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุ ซึ่งเขาย้ำว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหยุดที่ต้นเหตุ”