โลกที่เราเห็นหลังปี 2000s…เรามาไกลแค่ไหนแล้ว?
ดร.สุทธิ สุนทรานุรักษ์
หากย้อนกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราเติบโตมาในโลกแบบไหน”
คำตอบที่ผมพยายามค้นหา คือ การสังเกตตัวเองที่กำลังเดินทางผ่าน “ยุคสมัย” ซึ่งเปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์ของมนุษย์ เทคโนโลยี และความหมายของชีวิต
ผมเกิดในยุคที่บ้านยังใช้โทรศัพท์บ้าน มีวิทยุเทปคาสเซ็ต และคุ้นชินกับการเขียนจดหมายจ่าหน้าซองส่งไปรษณีย์
เมื่อเข้าสู่โลกการทำงานช่วงปลายทศวรรษที่ 90 ต่อช่วงปี 2000s โลกได้เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ ยุคนี้มักถูกเรียกว่า “Y2K Era” หรือ “Dot-com Boom”
Y2K คือ การเริ่มต้นของโลกาภิวัตน์ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล อินเทอร์เน็ตยังค่อนข้างช้า แต่เริ่มทำให้โลกใบใหญ่กลายเป็น “ห้องเดียวกัน” เป็นยุคที่ Google ยังใหม่ YouTube ยังไม่เกิด แต่เรารู้สึกว่าโลกเริ่มหมุนเร็วขึ้น พอ ๆ กับจำนวนแท็บในเบราว์เซอร์ที่เราเปิดไว้ระหว่างทำงาน
พอเข้าสู่ทศวรรษ 2010s นั่นคือยุคที่เทคโนโลยีไม่ได้แค่เปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยน “ตัวตนเรา” ไปด้วย
สมาร์ตโฟนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์ การสื่อสารเกิดขึ้นตลอดเวลา และความสนใจกลายเป็นสินค้าหลักในเศรษฐกิจยุคใหม่ หลายคนเรียกยุคนี้ว่า “Digital Decade” หรือ “Mobile–Social Era” เพราะชีวิตเริ่มถูกออกแบบโดยอัลกอริธึมโดยที่เราไม่รู้ตัว
ผมใช้ Facebook ช่วงนั้นเพื่อเชื่อมต่อผู้คน ใช้ LINE เพื่อคุยกับคนในครอบครัว ใช้ YouTube เพื่อเรียนรู้
ช่วงทศวรรษนี้เองที่ผมเริ่มต้นบทบาท “พ่อ” เมื่อปี 2017 และเห็นลูกสาวคนเดียวของผมเติบโตมาในโลกที่ความรู้หาได้จาก YouTube และ ChatGPT
แล้ววันหนึ่ง…โลกได้หยุดเดินพร้อมกันในทศวรรษ 2020s โควิด-19 ไม่ได้แค่ปิดเมือง แต่เปิดให้เราเห็นถึง “ความไม่แน่นอน” ไม่มีข้อยกเว้น แต่เป็นสัจธรรมข้อสำคัญของชีวิตทุกคน
การทำงานเปลี่ยนไปสู่รูปแบบออนไลน์ เราต้องเรียนรู้การสื่อสารอย่างเข้าใจกันโดยไม่มีการพบหน้า
ผมเห็นราชการทั้งระบบสั่นสะเทือนไปกับคำว่า Digital Transformation และในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีก็ก้าวกระโดดอีกครั้ง ด้วย Generative AI อย่าง ChatGPT, Midjourney, และระบบอัจฉริยะต่าง ๆ ที่เริ่มเขียนอีเมลแทนเรา สรุปเอกสารแทนเรา และอาจกำลัง “คิดแทนเรา” โดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในขณะที่โลกวิ่งเร็วอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนกลับหันมาพูดถึงคำว่า “ช้า” มากขึ้น
แนวคิดอย่าง Slow Life, Stoicism, Minimalism, Mindfulness กลายเป็นกระแสรองที่กำลังเติบโต
“ความเงียบ” กลายเป็นสิ่งที่มีราคา แม้เราสามารถเลือกอยู่กับความเงียบได้อย่างไม่กระวนกระวาย
… การอยู่กับธรรมชาติกลายเป็นการบำบัด และฮีลใจเรา
ทศวรรษหน้า 2030s คือ ทศวรรษที่โลกเข้าสู่ยุคของ Hybrid Intelligence มนุษย์ไม่ได้ทำงานคนเดียวอีกต่อไป แต่ต้องทำงานร่วมกับ AI อย่างกลมกลืน นี่คือยุคของ Co-agency ที่มนุษย์จะต้องใช้ทั้งปัญญาภายนอก (ข้อมูล) และปัญญาภายใน (สติ) ไปพร้อมกัน
เราไม่สามารถพึ่งพาแค่ความรู้หรือความเร็วได้อีกแล้ว แต่ต้อง “รู้จักตัวเอง” เพื่อเข้าใจผู้อื่นในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน
มองกลับมา…ผมพบว่าการเดินทางผ่านช่วงเวลาที่เล่ามาของโลกหลังปี 2000 ไม่ใช่แค่เส้นตรงที่เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน แต่คือพัฒนาการของชีวิตที่สอนเราว่า “เราต้องปรับตัว แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวตน”
เราใช้เทคโนโลยีได้อย่างชาญฉลาดก็ต่อเมื่อเราเข้าใจว่ามันคือ “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “ตัวตน” และเราจะไม่กลัวโลกในอนาคต ตราบใดที่เรายังซื่อสัตย์กับใจเราเอง
ในฐานะพ่อ ในฐานะข้าราชการ และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เคยใช้พิมพ์ดีดมาก่อนจะพิมพ์ผ่าน AI… ผมไม่แน่ใจว่าลูกสาวตัวน้อยจะโตมาในโลกที่หน้าตาแบบไหน แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าลูกมี “ใจที่มั่นคงพอ มีปัญญาที่แยกแยะได้ ” ไม่ว่ายุคไหน…เธอน่าจะยืนและอยู่รอดบนโลกใบนี้ได้