ยื่นสอบ‘สทร.’ครอบงำ‘เพื่อไทย’

"สหายใหญ่" ออกโรงซูฮก "นายใหญ่ทักษิณ" มือฉมังล็อบบี้ยิสต์ อย่ามัวแต่คอยจับผิดกัน ขณะที่ “อดีต รอง ผอ.ข่าวกรอง” ปูด ผุดฐานทัพมะกันแลกต่อรองภาษีทรัมป์คือหายนะชาติ ด้าน “ส.อ.ท.” โอดหนักอุตสาหกรรมไทยร่อแร่สังเวยภาษีทรัมป์ ชี้มาตรการรับมือรัฐบาลไทยอ่อนปวกเปียก มาแล้ว "พี่ศรี" ร้อง กกต.สอบ "สทร." เพ่นพ่านรัฐบาลลูกสาว “หนู” เดือดปุดๆ ไม่เสียเวลาฟัง "แม้ว" พล่าม ลากไส้ "กาสิโน" หวังขายใบอนุญาตต่างชาติ ขณะที่ รบ.จ่อแถลงผลงานครบ 1 ปี ลุยไฟต่อเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

เมื่อวันจันทร์ ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณถูกมองว่าครอบงำนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เกี่ยวกัน คนละคนกัน นายทักษิณเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้รู้หลายเรื่อง การรับฟังความเห็นที่ดีในการที่จะนำไปแก้ไขปัญหา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่างกรณีที่นายทักษิณเข้าบ้านพิษณุโลกเพื่อร่วมประชุมทีมไทยแลนด์เจรจาภาษีสหรัฐฯ

“ต้องยอมรับว่านายทักษิณนั้นเก่งเรื่องล็อบบี้ยิสต์ การฟังหลายเรื่องก็เป็นประโยชน์ และนายทักษิณก็เคยทำธุรกิจและรู้จักใกล้ชิดกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นการได้ฟังแง่มุมต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ควรจะต้องมาคอยจับผิดกัน เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ภาพใหญ่” นายภูมิธรรมระบุ

เมื่อถามว่า มีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่ระหว่างนี้รัฐบาลจะให้นายทักษิณเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องรอดูสถานการณ์ว่าขนาดไหนเหมาะสม แต่ในการทำงานไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีก็เป็นประโยชน์ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตัวแทน เนื่องจากนายทักษิณเองก็มีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง

เมื่อถามว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่าสหรัฐอเมริกากดดันไทย แสดงความชัดเจนขั้นสูงสุด ยกระดับในเรื่องการทหารและความมั่นคงระหว่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า คุยทุกเรื่องและหลายเรื่อง ฉะนั้นแต่ละประเทศที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้เลือกเงื่อนไขในการเจรจาก็แตกต่างกันไป

เมื่อถามย้ำว่า เหมือนสหรัฐฯ ต้องการให้ไทยเลือกข้างชัดเจน นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่ค่อยชอบฟังข่าว ขอเอาเนื้อจริงมาพูดคุยกัน เพราะหลายเรื่องที่พูดคุยกัน ตนไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง

ปูดตั้งฐานทัพมะกัน

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความว่า ต่อต้านฐานทัพต่างชาติ เจรจาต่อรองภาษีทรัมป์ก็ว่ากันไป อย่าคาดหวังว่าจะได้อะไรกลับมา โลกวันนี้กำลังมีการจัดระเบียบใหม่ การแบ่งค่ายเป็นสองค่ายเริ่มชัดเจน อินโดถูกบีบให้ออกจากบริกส์เพื่อลดภาษี

อย่าเชื่อพวกคลั่งฝรั่งแบบสุดโต่ง เปลี่ยนประเทศเป็นประชาธิปไตยตะวันตก เป็นข้อเสนอเจรจาต่อรองกับอเมริกา ญี่ปุ่นลอกแบบประชาธิปไตยตะวันตก แต่ก็โดนภาษีการค้าจากเมกาหลังแอ่น หรือเกาหลีใต้ปราบคอร์รัปชันจริงจังก็โดน เอียงข้างเข้าอเมริกาอย่างสุดๆ ยังไม่รอด

“อย่ายอมรับให้ตั้งฐานทัพอเมริกาเด็ดขาด อย่าเอาความขัดแย้งเสี่ยงสงครามเข้าไทย มันเป็นจุดล่อเป้าขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ การค้าตกต่ำคนไทยต้องอดทน แต่อย่าชักศึกเข้าบ้าน” นายนันทิวัฒน์ระบุ

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า แต่ข้อเท็จจริงนายทักษิณคือนักการเมืองที่ฉวยโอกาส มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ที่ศาลฎีกานักการเมืองตัดสินไปแล้ว แม้แต่ล่าสุดก็ยังมีปัญหาที่สังคมแคลงใจคือ โกงการติดคุก ที่ศาลฎีกานักการเมืองกำลังไต่สวน นี่ยังไม่นับอีกหลายๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับฮุน เซน

“ถามว่ารัฐบาลยังกล้าไว้วางใจคนประเภทนี้ มาให้คำแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาการเจรจาระหว่างประเทศ หรือปัญหาเศรษฐกิจอีกหรือ ประชาชนเกรงว่าสิ่งที่เขาเสนอ อาจจะมีการเอาผลประโยชน์ชาติไปแลกกับต่างชาติ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ของตนเอง เพราะสันดานคนมันแก้ไม่ได้” นพ.วรงค์ระบุ

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในงานเสวนาโต๊ะกลม "Roundtable: The Art of (Re) Deal" ว่า ผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาเตรียมเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยในอัตราสูงถึง 36% โดยมีผล 1 ส.ค.นี้ สูงกว่าประเทศในอาเซียนอย่างมาเลเซียที่ถูกเก็บภาษีเพียง 25% โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตถุงมือยาง ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในปริมาณมาก ทำให้หลายกลุ่มอุตสาหกรรมอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

เอกชนโอดหนัก

นายนาวาระบุว่า ส.อ.ท.พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยยินดีจัดทำข้อมูลส่งให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง เพื่อประกอบการพิจารณาลดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าจากสหรัฐฯ บางกลุ่มอุตสาหกรรมเหลือ 0% เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ อาจพิจารณาลดอัตราภาษีนำเข้าจากไทย แต่ย้ำว่าไม่จำเป็นต้องลดภาษีทุกอุตสาหกรรม 0% แบบเวียดนามที่ยอมเปิดทั้งหมด ซึ่งต้องพิจารณาความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่จีนจะได้รับจากการดำเนินการของเวียดนาม และจากนโยบายทรัมป์ 1.0 เมื่อช่วง 7 ปีที่แล้ว ซึ่งสหรัฐฯ และยุโรปได้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน ส่งผลให้เหล็กจากจีนไหลเข้ามาในเอเชียเป็นจำนวนมาก หากไทยไม่มีมาตรการป้องกันจะส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เห็นได้จากอุตสาหกรรมเหล็กที่กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา หลายบริษัทต้องปรับลดกำลังการผลิตและปลดพนักงาน แสดงให้เห็นว่ามาตรการที่มีอยู่ไม่เพียงพอ

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการในประเด็นสำคัญ อาทิ 1.มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty-CVD) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping-AD) ซึ่ง กกร.เสนอให้เร่งนำกฎหมายตอบโต้การอุดหนุนมาใช้ 2.มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน (Soft Loan) แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ธนาคารพาณิชย์กลับเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จึงขอให้ภาครัฐพิจารณามาตรการช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม และ 3.มาตรการเยียวยาทางอ้อม บางบริษัทจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อพยุงธุรกิจ ในประเด็นค่าแรงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอให้กระทรวงแรงงานพิจารณาชะลอการปรับขึ้นค่าแรงออกไปก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตหนัก

นายนาวาระบุอีกว่า ปัจจุบันไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 12 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 มาเลเซียซึ่งได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงเช่นกัน กลับถูกเก็บภาษีเพียง 25% เนื่องจากมีการบริหารจัดการปัญหาการสวมสิทธิ์ที่ดีกว่าไทย จึงไม่แน่ใจว่าการเจรจาของไทยจะสามารถลดอัตราภาษีลงได้มากน้อยเพียงใด ภาครัฐจึงควรรีบดำเนินการจำกัดการสวมสิทธิ์อย่างจริงจัง

"เราไม่อยากให้ฟังแล้วหมดความหวัง เพราะปัญหาเยอะ ดังนั้นธุรกิจที่ดีก็ยังดี เช่น อาหารสัตว์ หรือยาดมยาหม่อง แต่ส่วนใหญ่แย่ ภาครัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน ควรใช้มาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมให้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาการหลบเลี่ยงการนำเข้าต้องใช้เวลานานกว่า 9 ปีกว่าจะมีมาตรการออกมาใช้ จะเห็นจากวิกฤตต้มยำกุ้งในอดีต ไทยโชคดีที่มีอุตสาหกรรมเกษตรรองรับ แต่ในปัจจุบันราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ รัฐควรมีมาตรการช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้อุตสาหกรรมปรับตัวรองรับตลาดได้ ไม่ควรปล่อยให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงจนทำลายกันเองเหมือนที่เกิดขึ้นกับจีน" นายนาวาระบุ

ร้อง กกต.สอบ 'สทร.'

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน มายื่นคำร้องชี้เบาะแสให้นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการ กกต.ได้ไต่สวนสอบสวน กรณีที่นาย สทร.ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด และกรณีพรรคการเมืองบางพรรคยินยอมให้นาย สทร.ซึ่งมิใช่สมาชิกของพรรค กระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมือง ในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อันอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 28 และหรือมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า พฤติการณ์และการกระทำของนาย สทร.และพรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าวอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 และ/หรือมาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งมีบทลงโทษพรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนตามมาตรา 92(3) เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้ ส่วนนาย สทร.ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด แต่มีพฤติกรรมควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรคการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 108 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 1 แสนบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และศาลอาจสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งได้

ที่ จ.ศรีสะเกษ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการจัดรายการ Exclusive talk ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ดูเหมือนจะพูดถึงพรรค ภท.เกือบครึ่งรายการว่า ไม่ได้ฟังพอดีลงพื้นที่ ตั้งแต่ออกจากรัฐบาลพลพรรคของ ภท.ทุกคน จะไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน

เมื่อถามกรณีที่นายทักษิณระบุว่า ที่จริงแล้วนายกฯอยากให้ ภท.อยู่ร่วมกับรัฐบาล นายอนุทินระบุว่า ก็เชื่อว่า ท่านนายกฯ อยากให้อยู่ แต่คุณพ่อท่านนายกฯ และคนอื่นๆ “ไม่มั่นใจ ไล่ทุกวันเลย”

'หนู' ลากไส้กาสิโน

นายอนุทินระบุถึงเรื่องกาสิโน ที่นายทักษิณกล่าวว่าจะหาที่ดินให้บริษัท ซิโน-ไทย สร้างเอนเตอร์เทนเนอร์คอมเพล็กซ์แบบที่ไม่มีกาสิโน นายอนุทินระบุว่า ไม่ต้องซิโน-ไทยทำ แต่บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ก็ทำแล้วเจริญเติบโต ดูอย่างไอคอนสยามถือว่าเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์คอมเพล็กซ์หรือไม่ มีทั้งห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ภัตตาคาร ศูนย์ประชุม สนามเด็กเล่น ก็อยู่ที่สยามพารากอน ส่วนจะหาที่ให้นั้นเราเอาให้คนที่อยู่ในอาชีพทำดีกว่า สิ่งที่กังวลคือ การไม่ให้คนไทยได้ลงทุน แต่เป็นการให้ต่างชาติเข้ามาทำประโยชน์มากกว่า

“จากจะเป็นการลงทุนที่ดี กลับกลายเป็นการขายใบอนุญาต ตรงนี้มากกว่าที่จะผลักดัน ดังนั้นพรรคภูมิใจไทย พอเห็นแนวทาง และร่างที่มีการหารือกันมาตลอด เลยเห็นแล้วว่ามีการบังหน้าด้วยเอนเตอร์เทนเนอร์คอมเพล็กซ์ แต่เป้าหมายที่อยู่เบื้องหลังคือกาสิโน" พร้อมย้อนถามว่า "เห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน” นายอนุทินระบุ

นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีงูเห่าของพรรค ภท. ว่า คำว่า "ไล่หนู ตีงูเห่า" เกิดขึ้นที่ศรีสะเกษ และถูกพับไปโดยพรรคเพื่อไทยว่า ไม่มีแล้ว เพราะไล่หนู ตีงูเห่า เป็นเพียงวาทกรรม ก่อนจะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ไม่น่าจะมีคำว่าไล่หนู ตีงูเห่า แต่ยังมีคำว่าไล่หนู เพราะยังไล่อยู่ แต่มีคำว่า "ซื้องูเห่าแทน"

เมื่อถามว่า การลงโทษงูเห่า 3 คนที่โหวตให้รัฐบาลจะทำอย่างไรต่อไป นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวเสริมว่า ขอให้รอการประชุมพรรค ภท. ในวัน 15 กรกฎาคมนี้

ที่ทำเนียบฯ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงผลงานครบ 1 ปีของรัฐบาลว่า เราต้องสื่อสารสิ่งที่สำคัญที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ การปราบปรามยาเสพติด การปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นเรื่องสำคัญต่อประชาชนโดยตรง ในอีกด้านก็จะเสนอในด้านที่เป็นความหวัง ที่จริงเราทำงานเยอะ แต่อาจจะอธิบายได้ไม่เยอะ ต้องยอมรับว่านี่เป็นความบกพร่องของเรา สื่อสารสิ่งที่ประชาชนอยากได้ยิน ซึ่งเราหารือกันว่าจะกำหนดเป็นครบหนึ่งปีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ก็ประมาณเดือนกันยายน ให้ทราบความก้าวหน้า ซึ่งกำหนดวันนั้นเขามีประชุมทุก 3 เดือนและรายงานให้ ครม.ทราบ

เมื่อถามต่อว่า เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่รัฐบาลพักเอาไว้ ต้องบอกกับประชาชนด้วยหรือไม่ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า วันนี้ในเรื่องของการสื่อสารเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เรายังดำเนินการต่อ สื่อสารกับประชาชนว่าไม่ใช่กาสิโนอย่างที่เขากล่าวหา แต่เป็นการสร้างรายได้โดยระดมทุนจากต่างประเทศแล้วมาสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน ไม่ได้หยุดเลย ก็สื่อสารกับประชาชนต่อไป ซึ่งอันนี้เป็นแผนงานต่างๆ ที่ดำเนินการต่อ.