รัฐ-เอกชนลุยเสริมแรงงานทดแทน เมิน“กัมพูชา”กลับประเทศ
การกลับประเทศของแรงงานกัมพูชา จากความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาแม้จะมีผลกระทบในวงกว้างแต่เป็นช่วงสั้นๆ ที่รัฐบาลรวมถึงภาคเอกชนต่างร่วมมือหาแรงงานทดแทนใหม่เข้ามาที่เห็นได้ชัดจากกรณีจังหวัดจันทบุรี มีความต้องการแรงงานทดแทนจำนวน3หมื่นรายเป็นการด่วนเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรอย่างลำไย และประเมินว่าปัญหาดังกล่าวกำลังลุกลามในทุกอุตสาหกรรมรวมถึงภาคก่อสร้าง ที่รัฐบาลต้องหาทางออก
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แรงงานกัมพูชาเข้ามาทำงานในไทยทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกกฎหมาย เฉลี่ยกว่า1 ล้านคน โดยภาคก่อสร้างประมาณ2-3 แสนคน ในจำนวนนี้พบว่าแรงงานกัมพูชากลับประเทศเฉลี่ย 60% นำมาซึ่งผลกระทบแบบกระทันหันและต้องเร่งหาแรงงานทดแทนซึ่งอาจเป็นเมียนมาหรือประเทศอื่นๆ
นับเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ ปรับโครงสร้างจัดหาแรงงานเข้าระบบในระยะยาว พร้อมสำรวจร่วมกับภาคเอกชนเป็นรายโครงการว่ามีแรงงานหายไปมากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้จัดหาแรงงานใหม่ทดแทนหรือ ให้โอกาสขยายสัญญาออกไป หากมีความจำเป็นโดยเฉพาะโครงการภาครัฐ
นอกจากนี้ควรจัดกลุ่มแรงงานที่สามารถดึงมาใช้หมุนเวียนได้ทันที เช่นแรงงานแบบเคลื่อนที่ได้ อย่างกลุ่มช่างไฟ ที่พัฒนาทักษะด้านอื่นเพิ่มนอกจากนี้รัฐควรลดขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความรวดเร็วปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยและใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในระยะยาว
สอดคล้องกับ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย สะท้อนว่าจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาทางด้านแรงงงาน ว่า ปัจจุบันน่าจะมีแรงงานกัมพูชากลับประเทศไปแล้วประมาณ 60,000-70,000 ราย เนื่องจากรายงานตัวเลขเวลานี้ยังมีความไม่ตรงกันของแต่ละหน่วยงานโดยกระทรวงแรงงานรายงานว่าประมาณ 50,000-60,000 ราย
ขณะที่ทางกัมพูชาระบุว่าประมาณ 700,000 ราย ส่วนอีกหน่วยงานหนึ่งรายว่าประมาณ 400,000 รายโดยที่เห็นจากภาพที่ปรากฏว่ามีแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศเป็นจำนวนมากนั้น เพราะเป็นภาพของครอบครัว ที่มีทั้งลูก หลาน พ่อ แม่ ซึ่งไม่ทราบว่าเข้ามาอย่างไรเป็นจำนวนมาก
“ในภาพใหญ่แรงงานกัมพูชาที่อยู่ในระบบก่อนที่จะกลับบ้านมีประมาณ 520,000 ราย นอกระบบประมาณ 300,000 ราย รวมเป็น 800,000 ราย โดยตัวเลขที่กัมพูชารายงานน่าจะมากเกินกว่าความเป็นจริง เพราะถ้าหายไปมากขนาดนั้น ต้องบเห็นผลกระทบที่ชัดเจนมากกว่านี้ เช่น อาหารทะเลขาดตลาด หรือไม่มีคนงานก่อสร้าง เป็นต้น”
ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียนประเมินว่าจำนวนแรงงานกัมพูชาที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการที่ทำงานในประเทศไทย (ข้อมูลปี 2567) อยู่ที่ 1.25 ล้านคน ทำงานสำคัญ 3 ภาคการผลิต คือ ก่อสร้าง 3 แสนคน ภาคเกษตร 3.25 แสนคน ที่เหลือทำงานในภาคบริการ 6.25 แสนคน แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยคิดเป็น 20.8% ของแรงงานในไทย และคิดเป็น 15.7% ของแรงงานในประเทศ CLMV ที่ทำงานในไทย
ทั้งนี้ข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา ยังไม่มีตัวเลขทางการว่า แรงงานกัมพูชากลับประเทศกี่คน แต่มีการคาดการณ์ว่าแรงงานกัมพูชากลับประเทศกัมพูชาไปแล้วประมาณ 3-5 แสนคน ภายใต้สมมติฐานหากแรงงานกัมพูชากลับประเทศ 3–5 แสนคน จะทำให้ GDP ไทยสูญเสีย 2.34–3.90 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 5.3–8.8% โดยผลกระทบต่อเดือนอยู่ระหว่าง 1.95–3.25 หมื่นล้านบาท ภาคบริการได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือก่อสร้าง และเกษตรกรรมเห็นได้ว่าภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงแรงงานกัมพูชามากพอสมควร ในสัดส่วน 5.2% ของ GDP ประเทศ
ในทางกลับกัน ปัญหาดังกล่าวได้กระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาเช่นกัน เพราะแรงงานจำนวน 3-5 แสนคนที่กลับประเทศ ไม่มีตำแหน่งว่างงานรองรับในกัมพูชา จะสร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อผู้นำของกัมพูชาด้านเศรษฐกิจเพราะกระทบต่อรายได้แรงงานกัมพูชาที่หายไปเดือนละ 3,000-5,000 ล้านบาท หรือปีละ 36,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบ GDP ของกัมพูชาลดลงเช่นกัน อยู่ที่ 3-4% ของ GDP กัมพูชา
รศ.ดร.อัทธ์ ยังมีข้อเสนอแนะ 5แนวทางแก้ปัญหาแรงงานว่า 1.เร่งดึงแรงงานจากเมียนมาและลาวมาทดแทนด่วน2.จัดทำยุทธศาสตร์แรงงานต่างชาติทดแทนกัมพูชาในระยะ 5–10 ปี3.จูงใจแรงงานไทยเข้ามาทำงานแทน โดยเพิ่มค่าจ้างและให้สิทธิพิเศษด้านการเงิน เช่นดอกเบี้ยกู้ยืมต่ำ หรือลดภาษีดอกเบี้ยแรงงานไทย 4.ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเข้าแรงงานจากบังกลาเทศหรือศรีลังกาเข้ามาทำงานแทน