SOCIETY: เด็กเล็กจำเป็นต้องอ่าน ‘หนังสือเล่ม’ เท่านั้นจริงหรือ? หรืออ่าน e-Book และเรียนรู้ ผ่านสื่อดิจิทัลก็ไม่ต่างกัน?
ทุกวันนี้ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในเด็กเล็กเผ็ดร้อนมาก ประเด็นที่ว่าเด็กไม่ควรจะอยู่ ‘หน้าจอ’ มากเกินไปในวัยเด็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่อีกด้าน ประเด็นเรื่องของทักษะการ ‘อ่านจับใจความ’ ที่แย่ลงๆ ก็ชี้ว่าการฝึกนิสัยการอ่านในเด็กเล็กเป็นเรื่องสำคัญ
และนี่เองจึงนำมาสู่คำถามตลกๆ แต่เป็นประเด็นว่า ในขณะที่ผู้ใหญ่ทุกวันนี้จำนวนมากแทบไม่อ่านหนังสือเล่มแล้ว อ่านกันแต่ e-Book แล้วในกรณีของเด็กๆ การฝึกให้เด็กรักการอ่านผ่าน e-Book มันจะเป็นเรื่องผิดบาปอะไรหรือไม่? หรือพูดให้ตรงคือ e-Book Reader นั้นถือเป็น ‘หน้าจอ’ ที่เด็กควรหลีกเลี่ยงหรือไม่? หรือถ้าเด็กใช้แท็บเล็ตอ่านหนังสือ มันจะถือว่าเป็นการใช้หน้าจอในแบบที่ดีและเหมาะสมกับวัยหรือเปล่า
Psychology Today ได้รวบรวมงานวิจัยหลายชิ้นจากหลายประเทศ ที่รายงานผลของการใช้ e-Book และพวกสื่อเรียนรู้ดิจิทัลต่างๆ สำหรับเด็กวัย 2-4 ขวบ และพบว่าในภาพรวม เด็กสามารถเรียนรู้ผ่าน e-Book ได้แน่นอน และประสิทธิภาพการเรียนรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการให้เด็กอ่านหนังสือเล่มแน่ๆ กล่าวคือ เด็กเล็กสามารถเรียนรู้คำศัพท์และเรื่องราวต่างๆ ผ่านสื่อดิจิทัลได้ไม่ต่างจากสื่อแอนะล็อกทั้งหลายที่ผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆ เรียนรู้มา
แต่ความน่าสนใจก็คือ งานวิจัยหลายๆ ชิ้นให้ภาพละเอียดขึ้น เช่น งานจำนวนไม่น้อยชี้ว่าเวลาให้เด็กเรียนกับสื่อดิจิทัล คนที่คอยดูแลเด็กจะให้ความสำคัญกับมิติทางเทคนิค เช่น ‘การจับไอแพด’ มากกว่าเรื่องราวที่เด็กกำลังเรียนรู้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสื่อดิจิทัลอาจไม่ทำให้เด็กเสียสมาธิเท่ากับที่ทำให้คนเลี้ยงเด็กเสียสมาธิ
อย่างไรก็ดี อีกด้านงานวิจัยก็ชี้เช่นกันว่า ถ้าไปถามผู้ปกครอง พวกเขาจะมีอคติและบอกว่าเด็กสามารถเรียนรู้จาก ‘หนังสือเล่ม’ ได้มากกว่าพวกสื่อดิจิทัล หรือกระทั่งบอกว่าเด็กรู้สึกสนุกกว่าเวลาได้จับหนังสือเล่ม แต่ถ้าไปสำรวจจากเด็กๆ เอง เราก็จะพบว่าการเรียนรู้มันไม่ได้ต่างกัน และเด็กเองก็รู้สึกสนุกกับสื่อดิจิทัลมากกว่า
ทั้งนี้ก็มีงานวิจัยมาดักเช่นกันว่า ถ้าสื่อดิจิทัลมีลักษณะตื่นตาตื่นใจมากเกินไป เด็กก็จะหลงไปกับแสงสีเสียงจนลืม ‘เนื้อหา’ ที่ควรจะเรียนรู้ กล่าวคือ สื่อดิจิทัลทำออกมาดี แสดงสีสันสวยงาม ผู้ใหญ่เห็นแล้วชอบ ดูเพลิน มันไม่จำเป็นต้องเหมาะกับเด็ก เพราะเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย เจอสื่อแบบนั้นเข้าไปก็เสียสมาธิ และสื่อที่จะดีกว่าคือสื่อที่เน้น ‘สาร’ มากกว่า ‘แสงสีเสียง’ ตามสไตล์สื่อมัลติมีเดียยุคใหม่ๆ ที่พยายามจะฉีกตัวเองจากสื่อดั้งเดิมที่มีสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
แล้วข้อสรุปคืออะไร? โดยพื้นฐาน งานวิจัยชี้ไปในทางเดียวกันเลยว่า เด็กสามารถเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลได้ไม่ด้อยกว่าสื่อดั้งเดิมแน่ๆ และเด็กก็น่าจะชอบมากกว่าด้วย แต่ในทำนองเดียวกัน งานวิจัยก็ชี้ว่าผู้ใหญ่ควรจะเลือกสื่อดิจิทัลที่เน้นสาร เน้นเรื่องราวให้เด็กเรียนรู้ พวกสื่อที่ใส่อะไรที่ดู ‘สนุก’ มามากเกินไป จะทำให้เด็กเสียสมาธิจนไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่ควรจะเรียนรู้
แน่นอนว่างานวิจัยเหล่านี้ก็จะยิ่งทำให้ข้อถกเถียงว่า ‘เด็กไม่ควรอยู่หน้าจอก่อน 3 ขวบ’ มันเผ็ดร้อนยิ่งขึ้น แต่ถ้าว่าตามพวกงานวิจัยเหล่านี้ เราก็จะเห็นชัดเจนเลยว่าสุดท้าย ถ้าว่ากันที่ ‘สื่อการเรียนรู้’ สื่อดิจิทัลนั้นไม่ได้ด้อยกว่าสื่อดั้งเดิมแบบหนังสือแน่ๆ โดยรวม แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ เวลาพูดถึง ‘สื่อดิจิทัล’ มันมีความหลากหลายมากๆ และมันไม่ได้ดีไปหมดเช่นกัน สุดท้ายประเด็นมันเลยกลับมาที่การคัดสรรสื่อของพ่อแม่ที่อย่างไรก็ต้องมีโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสื่อการเรียนรู้แบบดิจิทัลหรือแอนะล็อก และงานวิจัยทั้งหลายนั้นก็เพียงแค่ ‘ไถ่บาป’ ให้สื่อการเรียนรู้ดิจิทัลที่พ่อแม่บางกลุ่มมองว่าเป็นสิ่งเลวร้ายโดยสิ้นเชิงเท่านั้นเอง
แต่ใดๆ ก็ตาม ถ้าอยากให้เด็ก ‘รักการอ่าน’ และยังคิดว่าหนังสือเล่มจะยังเป็นภาชนะบรรจุความรู้ของมนุษยชาติต่อไป การฝึกให้เด็กอ่านหนังสือเล่มแต่เล็กก็เป็นสิ่งที่พึงฝึกฝนด้วยเช่นกัน เพราะสุดท้ายเด็กที่มีศักยภาพในการเรียนรู้จากสื่อที่หลากหลายให้มากที่สุด ก็ย่อมได้เปรียบในการเรียนรู้กว่าเด็กที่ถนัดเรียนรู้จากแค่บางสื่อเท่านั้น