ไทยปิดดีลเซ็นซื้อเครื่องบินรบ ‘กริพเพน’ ประเดิม 4 ลำแรก
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. เวลา 12.20 น.ตามเวลาท้องถิ่นของสวีเดน ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพน รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ความตกลงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 ระหว่างไทยกับสวีเดน จำนวน 4 ลำ วงเงิน 19,500 ล้านบาท โดยมี พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เป็นผู้ลงนาม ขณะที่ฝ่ายสวีเดน มีนาย Mikael Granholm ผู้อำนวยการใหญ่ของ The Swedish Materiel Administration (FMV) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสวีเดนที่รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้างและจัดหายุทโธปกรณ์ด้านการป้องกันประเทศให้กับกองทัพสวีเดน ทั้งนี้มี Dr. Pal Jonson รมว.กลาโหมสวีเดน ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
2. ความตกลงการมอบอำนาจการดำเนินการของรัฐบาลสวีเดนแก่หน่วยงานของฝ่ายสวีเดน ระหว่างนาย Mikael Granholm ผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักงานยุทโธปกรณ์สวีเดน, นาย Lars Helmrich ผู้อำนวยการฝ่ายระบบอากาศและอวกาศของสำนักงานยุทโธปกรณ์สวีเดน, นาย Micael Johansson ประธานกรรมการบริหารของบริษัท Saab AB และ นาย Lars Tossman เจ้าหน้าที่จากบริษัท Saab AB และ 3. ความตกลงนโยบายชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Offset policy) ระหว่างกองทัพอากาศ กับบริษัท SAAB AB ระหว่างนาย Lars Tossman เจ้าหน้าที่จากบริษัท Saab AB กับ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.
สำหรับการลงนามครั้งนี้เป็นการลงนามในสัญญาจัดซื้อระยะที่ 1 จำนวน 4 ลำแรก จากแผนจัดซื้อจำนวนทั้งหมด 12 ลำ หรือ 1 ฝูงบิน ซึ่งเป็นการจัดซื้อทดแทน เครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 เนื่องจากบรรจุประจำการมานานกว่า 37 ปี สำหรับแผนการจัดส่งเครื่องบิน ฝ่ายสวีเดนจะเริ่มจัดส่งให้ไทยในปี 2572 ปีละ 2 ลำ จนครบ 1 ฝูงบิน
ทั้งนี้ นายมาริษ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการร่วมพิธีดังกล่าว ว่า ความตกลงครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้กองทัพ แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยตามนโยบายรัฐบาล ตนขอแสดงความยินดีที่การลงนามบรรลุผลสำเร็จ ซึ่งถือเป็นกรอบความร่วมมือที่จะต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จนถึงรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างผลประโยชน์แก่ไทยในระยะยาว
“เราตั้งเป้าหมายให้ภาครัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก ขณะที่ผู้ประกอบการและนักธุรกิจในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศจะเป็นผู้เล่นหลักในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศในอนาคต ผมได้คุยกับผู้บัญชาการทหารอากาศ ทราบว่ากองทัพอากาศมีบุคลากรที่มีคุณภาพ และมีนโยบายชัดเจนในการผลักดันไทยสู่การเป็นประเทศลำดับต้นๆ ในด้านนี้”นายมาริษ กล่าว
รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า การลงนามครั้งนี้ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สวีเดนและประชาคมโลก ภายหลังจากสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกองทัพไทยได้แสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงศักยภาพและการปฏิบัติตามหลักสากลและตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยพวกเราใช้เครื่องบินกริพเพนปฏิบัติการทางทหาร และแสดงให้เห็นชัดว่าเราไม่มีแนวคิดที่จะใช้อาวุธเพื่อรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในการปฏิบัติการของกองทัพอากาศนั้น ตนอ้างอิงข้อมูลจาก ผบ.ทอ.ที่ยืนยันว่าปฏิบัติการทั้งหมดของฝ่ายไทยไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา แต่เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สามารถทำลายเป้าหมายทางทหารของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแตกต่างจากการใช้อาวุธของฝ่ายกัมพูชาที่มุ่งเน้นการรุกรานและโจมตีเป้าหมายของพลเรือน
“ขอย้ำว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่รักสันติเช่นเดียวกับสวีเดนและสหภาพยุโรป แต่การมีศักยภาพในการป้องกันตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การซื้อขายเครื่องบินกริพเพนในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยร่วมมือกับนานาประเทศที่รักสันติ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการใช้อาวุธเพื่อปกป้องตนเองอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในประชาคมโลกมากขึ้น”นายมาริษ กล่าว