โลกร้อน ดัน ‘ราคาอาหาร’ พุ่งทั่วโลก เกิดวิกฤติค่าครองชีพ ผู้คนขาดสารอาหาร
ราคาสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ผักกาดในออสเตรเลียไปจนถึงกาแฟในบราซิล พุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นก่อนปี 2020 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสาธารณสุข เนื่องจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมักลดการบริโภคผักและผลไม้ราคาแพง
ตามรายงานจากทีมวิจัยซึ่งประกอบด้วยหน่วยข่าวกรองด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ (ECIU) ของสหราชอาณาจักร ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มูลนิธิอาหาร ศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์บาร์เซโลนา และสถาบันวิจัยผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศพอทสดัม พบว่าราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเพิ่มสูงขึ้น อาจนำไปสู่ ภาวะทุพโภชนาการ ความวุ่นวายทางการเมือง และความไม่สงบทางสังคมมากขึ้น เนื่องจากประชากรที่ยากจนที่สุดในโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอาหารหลัก
ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มคนยากจนในสังคมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปทั่วโลกอีกด้วย
การศึกษานี้ได้ศึกษาตัวอย่างสินค้าใน 18 ประเทศ ระหว่างปี 2022-2024 ที่มีราคาพุ่งสูงขึ้นจากความร้อน ภัยแล้ง และฝนตกหนัก ไม่ว่าจะเป็นราคาโกโก้ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นถึง 280% ในเดือนเมษายน 2024 หลังจากคลื่นความร้อนในกานาและไอวอรีโคสต์ และราคาผักกาดหอมในออสเตรเลียพุ่งสูงขึ้นถึง 300% หลังจากเกิดน้ำท่วมในปี 2022
ส่วนราคาที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นไม่นานหลังจากคลื่นความร้อน เช่น ราคากะหล่ำปลีในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 70% ในเดือนกันยายน 2024 ราคาข้าวในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 48% ในเดือนกันยายน 2024 และราคามันฝรั่งในอินเดียเพิ่มขึ้น 81% ในต้นปี 2024
ขณะที่ ภัยแล้งก็ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งภัยแล้งในบราซิลในปี 2023 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าราคากาแฟทั่วโลกเพิ่มขึ้น 55% ในปีถัดมา และภัยแล้งในเอธิโอเปียในปี 2022 ส่งผลให้ราคาอาหารโดยรวมของประเทศ เพิ่มขึ้น 40% ในปี 2023
ราคาน้ำมันมะกอกพุ่งสูงขึ้นถึง 50% ในยุโรปในเดือนมกราคม 2024 หลังจากภัยแล้งอันยาวนานในอิตาลีและสเปนในปี 2022-2023 ขณะที่ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เม็กซิโกเผชิญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 20% ในเดือนนั้น
ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ทำให้เศรษฐกิจควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยรวมได้ยากขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ตัวอย่างเช่น ฤดูใบไม้ผลิที่ร้อนและแห้งแล้งในสหราชอาณาจักรในปี 2025 มีส่วนผลักดันให้ตัวเลขเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรที่สูงเกินคาด
“ในสหราชอาณาจักร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ค่าใช้จ่ายด้านอาหารของครัวเรือนโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 482 ดอลลาร์ ตลอดปี 2022-2023” แอมเบอร์ ซอว์เยอร์ หนึ่งในผู้เขียนร่วมรายงานจากหน่วยข่าวกรองด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ (ECIU) กล่าว
ปี 2024 สหราชอาณาจักรมีผลผลิตทางการเกษตรที่แย่ที่สุดเป็นอันดับสามเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อังกฤษมีผลผลิตที่แย่ที่สุดเป็นอันดับสอง เนื่องจากฝนตกหนักเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานยังชี้ว่า อัตราเงินเฟ้อสูงสามารถเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้โดยตรง
แม็กซิมิเลียน คอทซ์ นักวิจัยหลังปริญญาเอก มารี กูรี แห่งศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์บาร์เซโลนา และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าวว่า ค่าครองชีพมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกตั้งในสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว
คอทซ์กล่าวเสริมว่า ผลกระทบเหล่านี้จะยิ่งเลวร้ายลงในอนาคต สภาพอากาศสุดขั้วจะยิ่งเลวร้ายลง สร้างความเสียหายต่อพืชผลมากกว่าเดิม และทำให้ราคาอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น หากยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์
“ผู้คนกำลังสังเกตเห็นสิ่งนี้ ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่พวกเขาพบเห็นในชีวิตประจำวัน นอกจากความร้อนที่รุนแรง” คอทซ์กล่าว
เมื่อราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น ครอบครัวที่มีรายได้น้อยมักต้องหันไปหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่าและราคาถูกกว่า อาหารประเภทนี้เชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น มะเร็ง เบาหวาน และโรคหัวใจ
ราช พาเทล ศาสตราจารย์วิจัยจากคณะกิจการสาธารณะ ลินดอน บี. จอห์นสัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตออสติน กล่าวว่า “ภาวะราคาอาหารเฟ้อมักเป็นเรื่องการเมือง”
ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนในโมซัมบิกออกมาเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนเมื่อราคาขนมปังพุ่งสูงขึ้น หลังจากสภาพอากาศร้อนจัดในรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ ส่งผลให้ประเทศต้องระงับการส่งออก เพื่อปกป้องผลผลิตที่ขาดแคลนในปี 2010 ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก
ทิม เบนตัน ศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยาประชากร มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้ กล่าวว่า ผลการวิจัยนี้เป็นส่วนเสริมให้กับงานวิจัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรมทั่วโลก
“ปัญหาอาหารขาดแคลนย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นสำหรับผู้ซื้อ น่าเศร้าที่ผลกระทบต่อราคาอาหารนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากโลกที่ตึงเครียดและเต็มไปด้วยการแข่งขันกันมากขึ้น ซึ่งการค้าโลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดจากความขัดแย้งหรือข้อพิพาททางการค้าอยู่แล้ว” เขากล่าวกับ CNN
เบนตันกล่าวเสริมว่า โลกกำลังเจอความผันผวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดวิกฤติค่าครองชีพถาวร หากไม่สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ วิกฤติเหล่านี้ก็จะส่งผลกระทบต่อเราทุกคนมากขึ้นเท่านั้น
ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) รัฐบาลต่าง ๆ ให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก 2.6% ตั้งแต่ปี 2019-2030 แต่คำมั่นสัญญาเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสก่อนยุคอุตสาหกรรม
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) คาดว่าจะมีคำวินิจฉัยชี้แนะที่สำคัญเกี่ยวกับพันธกรณีทางกฎหมายของรัฐต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคดีนี้ยื่นโดยวานูอาตูและได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก
ที่มา: Aljazeera, CNN, The Guardian