World Bank ชี้ อนาคตดิจิทัลของประเทศไทย กุญแจสำคัญกระตุ้นการเติบโต
การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย สร้างการจ้างงาน และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตามรายงาน Thailand Economic Monitor: Digital Pathways to Growth ฉบับใหม่ของธนาคารโลก(World Bank) ซึ่งมีการเผยแพร่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568
อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยคาดว่าจะชะลอลงมาอยู่ที่ 1.8%ในปี 2568 และ 1.7% ในปี 2569 สะท้อนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมา การส่งออกที่อ่อนแอการบริโภคที่ชะลอตัว และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม หากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนปรับตัวดีขึ้น GDP อาจเติบโตได้เป็น 2.2% ในปี 2568 และ 1.8% ในปี 2569
“แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน แต่เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังมีความแข็งแกร่ง ช่วยพยุงภาพรวมเศรษฐกิจไว้ชั่วคราว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งการส่งออกล่วงหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว “การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค การปรับการลงทุนของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการขยายความร่วมมือทางการค้าในเชิงลึก จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากพลวัตของตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้”
การกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินอย่างมีประสิทธิผลและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูงสามารถสนับสนุนการเติบโตได้ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจส่งผลให้การดำเนินการงบประมาณการคลังและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะในระยะสั้นล่าช้าลง ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนและการเติบโตโดยรวม
ขีดความสามารถทางการคลังลดลงเนื่องจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของรายได้ที่ช้าลง การขาดดุลการคลังขยายตัวเป็น 6.3%ของ GDP ในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านทุนที่เร่งตัวขึ้น หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 64.4%ของ GDP
ในภาคการเงิน หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 87.9% ของ GDP ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยง ในขณะที่ธนาคารยังคงมีเงินทุนเพียงพอ ความสามารถในการทำกำไรอยู่ภายใต้แรงกดดัน และการเติบโตของสินเชื่อก็ซบเซา ซึ่งสะท้อนถึงการให้สินเชื่อที่ระมัดระวังและอุปสงค์ที่อ่อนแอท่ามกลางการก่อหนี้
คาดว่าบัญชีเดินสะพัดของไทยจะยังคงเกินดุลในระยะสั้นท่ามกลางความเปราะบางที่แฝงอยู่ สำหรับทั้งปี 2568 บัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุล 2.3% ของ GDP ก่อนที่จะลดลงเล็กน้อยเหลือ 2.0% ในปี 2569 เนื่องจากสภาพการค้าโลกที่อ่อนตัวลงและรายได้จากการท่องเที่ยวยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด แม้ว่าสถานะภายนอกของไทยจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลกมากขึ้นเนื่องจากตะกร้าสินค้าส่งออกที่กระจุกตัว ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อแนวโน้มบัญชีเดินสะพัด
สำหรับเงินเฟ้อคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปี 2568 และ 2569 สำหรับทั้งปี อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยเพียง 0.3% ในปี 2568 เนื่องจากคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกจะลดลงอย่างมาก ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1.0%ในปี 2569 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของกรอบเป้าหมาย สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจะเปิดโอกาสให้มีการผ่อนคลายทางการเงิน แต่ยังเน้นย้ำถึงจุดอ่อนด้านอุปสงค์ที่ยังคงมีอยู่และความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลผลิตและการลงทุน
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ประเทศไทยต้องมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลผลิตในเครื่องยนต์การเติบโตใหม่ เช่น บริการดิจิทัล ขณะเดียวกันก็ดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและการกระจายความร่วมมือทางการค้า ในระยะสั้น การปรับสมดุลทางการคลังไปสู่การลงทุนของภาครัฐในขณะที่รักษาเสถียรภาพทางการคลังและการเงินจะเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาความเสี่ยงและสนับสนุนการฟื้นตัวที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้น การสนับสนุนความร่วมมือทางการค้าทำได้โดยการเปิดเสรีทางการค้าในวงกว้าง ผ่านการขจัดอุปสรรคทางการค้าต่อภาคบริการและภาคเกษตร การเพิ่มทุนมนุษย์ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน และการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเพิ่มผลผลิตและส่งเสริมการจ้างงานที่ดีขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น พาณิชย์ การเงิน และสาธารณสุข
รายงานชี้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเป็นตัวเร่งการเติบโตและสร้างงาน ยกระดับคุณภาพการให้บริการ และเพิ่มผลิตภาพของประเทศได้ ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน
เมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา กล่าวว่า “ขณะที่ประเทศไทยเตรียมพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกลุ่มธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปี 2569 การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลจะเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการหารือ การประชุมระดับโลกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนอศักยภาพอุตสาหกรรมหลักต่างๆ อาทิ บริการดิจิทัล การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจการเกษตร และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งล้วนมีส่วนกำหนดอนาคตของประเทศไทย”
เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยคาดว่ามีมูลค่าราว 6% ของ GDP และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียน อุตสาหกรรมบริการการเงิน การชำระเงินดิจิทัล ฟินเทค ซอฟต์แวร์ และวิศวกรรม ถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราการจ้างงานเติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบนมือถือที่ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะด้านดิจิทัล ที่นับว่าทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค การใช้ดิจิทัล ID และระบบการชำระเงินดิจิทัลอย่างแพร่หลาย (เช่น ThaID และ PromptPay ) ได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเข้าถึงบริการทางการเงินและการขยายตัวของรัฐบาลดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ โดยอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19
เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ” จีอึน ชอย นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านดิจิทัลของธนาคารโลก กล่าว “ประเทศไทยสามารถปลดล็อกศักยภาพนี้ได้ โดยการปิดช่องว่างด้านข้อมูลคุณภาพสูงและโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผล ตลอดจนการส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัล”
ความแตกต่างของทักษะดิจิทัลเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง โดยไทยมีทักษะดิจิทัลต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน แม้ว่าความต้องการทักษะดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ผู้ใหญ่เพียง 5.1%เท่านั้นที่มีทักษะระดับกลางและทักษะการเขียนโปรแกรมขั้นสูงเพียง 1% ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนำนวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้ จำเป็นต้องเพิ่มความรู้ด้านดิจิทัลและยกระดับทักษะของกำลังคนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทักษะดิจิทัลเปิดเส้นทางสู่การจ้างงานประเภทใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
การนำ AI มาใช้อยู่ในระดับต่ำ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพียง 6%เท่านั้นที่เข้าถึงเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ ณ เดือนมีนาคม 2567 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน อุปสรรค ได้แก่ ความรู้ด้านดิจิทัลต่ำ ขาดความตระหนักรู้ และแรงจูงใจในการนำมาใช้ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในบริษัทขนาดเล็ก แม้จะมีการออกนโยบายและกลยุทธ์ AI ระดับชาติ 7 ข้อ แต่การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการพัฒนา AI ก็ยังจำกัดเมื่อเทียบกับผู้นำในภูมิภาค การได้ประโยชน์จากการนำ AI มาใช้ต้องอาศัยความพยายามเชิงรุกในการบูรณาการเครื่องมือ AI เข้ากับบริการสาธารณะ ระบบการศึกษา และโปรแกรมสนับสนุน MSME
โดยสรุป เส้นทางการเปลี่ยนโฉมทางดิจิทัลของประเทศไทยต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และความท้าทายด้านกฎระเบียบ
รายงานฉบับนี้นำเสนอแนวทางการดำเนินการที่สำคัญเพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และอีคอมเมิร์ซ ไปจนถึงด้านสุขภาพและการเงิน พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นของนโยบายที่มีความสอดประสานกัน เพื่อขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ คุ้มครองข้อมูล และส่งเสริมนวัตกรรม